3. มีความเมตตาปรานี
  จำนวนคนเข้าชม  4467

3. มีความเมตตาปรานี

          ผู้นำจะต้องมีความเมตตาต่อประชาชน มองพวกเขาเฉกเช่นบุตรหลาน ไม่คิดอคติหรือปองร้ายต่อพวกเขาแม้ว่าจะเป็นผู้ไม่เห็นด้วยกับเขา เพราะประชาชนทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้สนับสนุนหรือผู้คัดค้านต่างก็เป็นประชาชนของเขา หากผู้นำขาดความเมตตา ประชาชนจะไม่มีความสุข ชุมชนจะมีปัญหา เพราะความเดือนร้อนของพวกเขาไม่เคยเป็นที่รู้สึกและเหลียวแลของผู้นำ

          เคาะลีฟะฮฺอุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮฺ ท่านเป็นผู้นำที่มีใจเมตตาต่อประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ท่านไม่ยอมที่จะให้ประชาชนเดือดเนื้อร้อนใจตราบใดที่ไม่อยู่ในภาวะคับขัน ท่านมักจะร้องไห้เสมอเมื่อพบเจอประชาชนกำลังเดือดร้อนพร้อมกับพยายามช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด

          เมื่อครั้งที่มุอาวิยะฮฺ อิบนฺ อบีสุฟยานพยายามโน้มน้าวขอให้ท่านอุมัรฺอนุญาตให้นักรบมุสลิมเดินทัพไปพิชิตเกาะไซปรัส ซึ่งจะต้องลงเรือไปทางทะเลเท่านั้น ด้วยความที่ชาวอาหรับไม่มีความเคยชินกับการเดินทางทางทะเล และด้วยใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตาต่อประชาชน ท่านจึงได้มีจดหมายไปยังอัมรฺ อิบนฺ อัล-อาศ เพื่อให้เขาบรรยายสภาพของการเดินทะเล ซึ่งอัมรฺก็ได้ตอบว่า ผู้คนที่นั่งเรือนั้นเหมือนกับหนอนที่เกาะบนก้อนไม้ จิตใจจะหวาดเสียวอยู่ตลอดเวลา พลาดนิดเดียวก็ตกลงไปในทะเลทันที ท่านจึงมีหนังสือส่งไปยังมุอาวิยะฮฺว่า 

"ขอสาบานกับอัลลอฮฺ ฉันจะไม่นำเอามุสลิมคนใดไปลงทะเลตลอดไป” (al-Dhahabiy,n.d.: 1/423)

          อิบนุ กะษีร ได้บันทึกใน al-Bidayah wa al-Nihayah ถึงเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงความเมตตาของเคาะลีฟะฮฺอุมัรฺต่อประชาชนเป็นอย่างดี นั่นคือ เหตุการณ์ที่ท่านไปพบกับผู้หญิงที่กำลังเจ็บท้องคลอด แล้วท่านก็รีบกลับมาชวนอุมมุ กัลษูม ผู้เป็นภรรยาให้ไปช่วยทำคลอดพร้อมกับแบกแป้งและเนยไปให้ กระทั่งหญิงคนนั้นสามารถคลอดลูกได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ อิบนุกะษีรได้รายงานจากคำบอกเล่าของอัสลัมซึ่งเป็นผู้ติดตามเคาะลีฟะฮฺในเหตุการณ์นี้ว่า

         ในคืนหนึ่ง ฉันได้ออกลาดตระเวนไปยังนอกเมืองมะดีนะฮฺพร้อมกับท่านอุมัรฺ เราได้พบกระโจมแห่งหนึ่ง เราจึงมุ่งตรงเข้าไป ซึ่งปรากฏมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเจ็บท้องคลอดและร้องไห้ ท่านอุมัรฺจึงถามความเป็นอยู่ของนาง ซึ่งนางตอบว่า "ฉันเป็นหญิงชาวอาหรับและไม่มีทรัพย์สินใด ๆ"

ท่านอุมัรฺจึงร้องไห้แล้วรีบหวนกลับมาที่บ้านทันทีโดยท่านกล่าวกับอุมมุ กัลษูม บินติ อะลียฺ อิบนฺ อบี ฏอลิบ ผู้เป็นภรรยาว่า "เธออยากจะได้ผลบุญที่อัลลอฮฺส่งมาให้เธอจนถึงที่หรือเปล่า?"

แล้วท่านก็เล่าเรื่องราวนั้น นางกล่าวว่า "อยากได้ซิ"

แล้วท่านก็เอาแป้งและเนยขึ้นแบกไว้บนหลัง ส่วนอุมมุกัลษูมนั้นหิ้วอุปกรณ์ทำคลอด แล้วก็มายังสถานที่เกิดเหตุ อุมมุกัลษูมตรงเข้าหาผู้หญิงคนนั้น ส่วนท่านอุมัรฺนั่งอยู่กับผู้เป็นสามีโดยที่เขาไม่รู้จักท่าน และแล้วหญิงคนนั้นก็คลอดลูกเป็นเด็กชาย อุมมุกัลษูมจึงกล่าวว่า "โอ้ ท่านอะมีรุลมุมินีน จงแจ้งข่าวดีแก่สหายท่านว่าเขาได้บุตรชาย"

เมื่อชายคนนั้นได้ยินก็ตกใจมากและขอโทษท่าน ท่านอุมัรฺกล่าวว่า "ท่านปลอดภัยแล้ว”

จากนั้นท่านก็นำค่าใช้จ่ายและสิ่งของที่จำเป็นมาให้แก่เขา แล้วท่านก็ออกไป (Ibn Khathir, 1988: 7/140)

         เช่นเดียวกันกับเหตุการณ์การเข้าไปช่วยปรุงอาหารให้กับประชาชนที่กำลังขาดแคลนอาหารและอยู่ในความหนาวเหน็บของเวลากลางคืน ซึ่งอิบนุกะษีรได้บันทึกจากคำบอกเล่าของอัสลัมผู้ติดตามท่านเช่นกันว่า

         ในคืนหนึ่ง ฉันได้ออกลาดตระเวนกับท่านอุมัรฺไปยังแถบเขตวากิมกระทั่งเรามาถึงที่บริเวณศิร็อรฺ ก็ได้เห็นคบไฟดวงหนึ่ง ท่านกล่าวว่า "นี่อัสลัม ตรงโน้นคงมีเจ้าของอูฐที่อยู่ระหว่างการเดินทางซึ่งความมืดมิดของค่ำคืนได้กักขังพวกเขาไว้ มาซิ เราไปหาพวกเขา"

แล้วเราก็เข้าไปหา ซึ่งปรากฏว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอยู่กับลูกเล็กๆ และมีหม้อตั้งอยู่บนไฟโดยที่ลูกๆ ของเธอต่างร้องไห้โอดครวญ ท่านอุมัรฺจึงกล่าวว่า "อัสสะลามุ อะลัยกุม โอ้ ชาวแสงไฟ"

นางตอบว่า " วะอะลัยกัสสะลาม" ท่านกล่าวว่า "ฉันขอเข้าใกล้ได้ไหม" นางตอบว่า "เชิญเข้ามาใกล้ หรือไม่ก็ออกไป"

แล้วท่านก็เข้าไปใกล้ แล้วถามว่า "ทำไมพวกท่านเป็นเช่นนี้" นางตอบว่า " ความมืดมิดและความหนาวเย็นได้กักขังพวกเราไว้"

ท่านถามว่า "แล้วทำไมพวกเด็ก ๆ นี้จึงร้องห่มร้องไห้เล่า?" นางตอบว่า "เพราะความหิว" ท่านถามว่า "แล้วมีอะไรต้มอยู่บนไฟ"

นางตอบว่า "ก้อนหิน ฉันหลอกพวกเขาเพื่อให้พวกเขาจะได้เคลิ้มหลับไป" อัลลอฮฺเท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสินระหว่างเรากับอุมัรฺ

ท่านอุมัรฺร้องไห้แล้วรีบกลับและมุ่งตรงไปยังคลังแป้ง แล้วเอาแป้งหนึ่งถุงใหญ่และเนยหนึ่งถุงออกมา แล้วกล่าวว่า "นี่อัสลัม จงยกมันขึ้นบนหลังของฉันซิ" ฉันกล่าวว่า "ให้ฉันแบกแทนท่านเถอะ"

ท่านกล่าวว่า "เจ้าจะแบกบาปแทนข้าในวันกิยามะฮฺกระนั้นหรือ?"

แล้วท่านก็แบกมันขึ้นบนหลังท่านเองแล้วมุ่งตรงไปยังผู้หญิงดังกล่าว และเมื่อมาถึง ท่านก็ยกมันลง แล้วจัดการเอาแป้งเทลงไปในหม้อแล้วเอาเนยใส่ตามไป จากนั้นท่านก็เป่าไฟจนเกิดควันฟุ้งกระจายลอยแทรกตามเคราของท่านอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วท่านก็ยกมันออกจากไฟ พร้อมกับกล่าวว่า "เอาจานมาให้ฉันหนึ่งใบซิ"

แล้วนางก็เอามาให้ ท่านจึงตักแล้วก็ยกมาตั้งข้างหน้าพวกเด็กเหล่านั้น พร้อมกับกล่าวว่า "กินซิ" พวกเขาเลยกินจนอิ่ม

ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็พร่ำแต่ขอดุอาอ์ให้ท่านโดยที่นางไม่รู้จักท่าน ท่านอยู่ที่นั่นจนกระทั่งพวกเด็ก ๆ ต่างหลับไป จากนั้นท่านก็นำค่าใช้จ่ายและสิ่งของที่จำเป็นมาให้แก่พวกเขา

ท่านได้หันมาพูดกับฉันว่า "โอ้ อัสลัม ความหิวเป็นเหตุให้พวกเขาต้องนอนไม่หลับและร้องห่มร้องไห้” (Ibn Khathir, 1988: 7/141)