ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่พวกเขาไม่รู้
รูปแบบและวิธีการสอนมี 3 รูปแบบ1. รูปแบบที่เป็นสามัญสำนึกและสัญชาตญาณ คือความรู้ที่ให้กับสรรพสิ่งทั้งหลายโดยไม่ต้องศึกษาหรือค้นหา เช่นการดื่ม การกิน การนอน การตื่น การขับถ่ายและอื่นๆ
2. รูปแบบที่ต้องเสาะแสวงหา คือความรู้ที่ได้มาด้วยการใช้ความพยายาม วิริยะอุตสาหะ
การเสาะแสวงหาจากแหล่งที่มา 2 ประการ คือ
แหล่งที่หนึ่ง จากคำบัญชา(วะห์ยุ)ทั้งที่เป็นอัลกุรอานหรือซุนนะฮ์(แบบอย่างของท่านนะบีมุฮัมมัด) คือความรู้ที่เป็นสัจธรรมและถูกต้องปราศจากความเคลือบแคลงใดๆ อัลลอฮ์ ได้ตรัสความว่า
ดังที่เราได้ส่งเราะซูลผู้หนึ่ง จากพวกของเจ้าเองมาในหมู่พวกเจ้า ซึ่งเขาจะอ่านบรรดาโองการของเราให้พวกเจ้าฟัง และจะทำให้พวกเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ และจะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติให้แก่พวกเจ้า และจะสอนพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน (อัลกุรอาน 1: 151)
แหล่งที่สอง จากความคิดหรือสติปัญญา ซึ่งบางครั้งความรู้ที่คิดค้นมาอาจเป็นความจริง หากว่าความรู้นั้นไม่ขัดแย้งกับวิวรณ์ที่ถูกต้อง หรืออาจเป็นเท็จหากความรู้นั้นขัดแย้งกับความเป็นจริงของคำวิวรณ์ อัลลอฮ์ ตรัสความว่า
พวกเขารู้แต่เพียงผิวเผินในเรื่องการดำเนินชีวิตในโลกนี้ และพวกเขาไม่คำนึงถึงการมีชีวิตในวันอาคีเราะฮ์ (อัลกุรอาน 30 : 7)3. รูปแบบการดลใจ ซึ่งเป็นรูปแบบและวิธีการสอนที่ทรงประทานแก่บ่าวที่พระองค์ทรงประสงค์ ซึ่งไม่ต้องเสาะแสวงหาและศึกษาแต่อย่างใด บางครั้งได้มาโดยผ่านกระบวนการขัดเกลาจิตใจอย่างมุ่งมั่นทุ่มเท หรือบางครั้งได้มาด้วยวิธีการดลใจเป็นการเฉพาะ ดังที่อัลลอฮ์ ทรงอธิบายเกี่ยวกับท่านเคาะฏิร์ ความว่า
แล้วทั้งสอง(นะบีมูซาและสหายของท่าน)ได้พบว่าบ่าวคนหนึ่งจากปวงบ่าวของเรา ที่เราได้ประทานความเมตตาจากเราให้แก่เขา และเราได้สอนความรู้(ที่เรียกว่าการดลใจ)จากเราให้แก่เขา (อัลกุรอาน 18 : 65)
จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเจ้านั้นทรงใจบุญยิ่ง ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้ การประทานลงมาของ 5 โองการแรกในซูเราะฮ์อัลอะลักเป็นปรากฏการณ์และประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ การอ่านสอนโดยพระผู้สร้างโลก ที่กำหนดคุณลักษณะของพระองค์เองด้วยคุณลักษณะ ผู้ทรงกรุณายิ่ง ในการบังเกิดมนุษย์และสร้างโลก และทรงใช้ปากกาเป็นสื่อในการสอนมนุษย์
พระองค์ไม่เพียงแค่ทรงบังเกิดมนุษย์เท่านั้น ด้วยคุณลักษณะที่ทรงเกียรติและทรงเมตตายิ่ง พระองค์ทรงสอนทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับวิถีชีวิต ดังที่พระองค์ตรัสความว่าสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ ซึ่งครอบคลุมทุกอย่าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของพระองค์ เพราะคำว่า สิ่ง ในที่นี้ คือความรู้หรือปัญญาต่างๆ ที่พระองค์ไม่สอนให้มนุษย์รู้ ในขณะที่สิ่งที่พระองค์ทรงสอนให้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถึงแม้ ในความรู้สึกของมนุษย์คิดว่า เขาได้รับความรู้มากมายมหาศาลก็ตาม
และพวกท่านจะไม่ได้รับความรู้ใดๆ เว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น (อัลกุรอาน 17 : 85)
และพวกเขาไม่สามารถล่วงรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดจากความรอบรู้ของพระองค์ได้ นอกจากสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์(ให้พวกเขารู้)เท่านั้น (อัลกุรอาน 2: 255)
จงกล่าวเถิด (โอ้มุฮัมมัด) หากว่าทะเลเป็นน้ำหมึกสำหรับบันทึกพจนารถของพระผู้เป็นเจ้าของฉัน แน่นอนที่สุดทะเลจะเหือดแห้งก่อนที่คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าของฉันหมดสิ้นไป และแม้ว่าเราจะนำมันเยี่ยงนั้นมาเป็นน้ำหมึกอีกก็ตาม (อัลกุรอาน 18 : 109)
อิบนุกะษีร ได้กล่าวว่า โองการแรกของอัลกุรอานที่ประทานลงมาคือ 5 โองการ(ในซูเราะฮ์อัลอะลัก) และโองการดังกล่าวคือความเมตตาและความโปรดปรานที่อัลลอฮ์ ทรงประทานให้แก่ปวงบ่าวของพระองค์ เป็นการตักเตือนให้ตระหนักว่ามนุษย์ถูกบังเกิดมาจากก้อนเลือด และพระองค์ทรงให้เกียรติโดยทรงสอนในสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ และให้วิชาความรู้แก่พวกเขาซึ่งถือเป็นจุดเด่นของอาดัม บิดาแห่งมนุษยชาติที่มีเหนือกว่าบรรดามลาอิกะฮ์ อัลลอฮ์ ตรัสความว่า
ผู้ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเจ้านั้นทรงกรุณายิ่งผู้ทรงสอนการใช้ปากกา ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้(96 : 1-5)
วิวรณ์ความรู้ที่มาจากการชี้นำ เป็นความเมตตาและการตักเตือน
ไม่มีความรู้ใดที่จะเป็นจริงไปกว่าความรู้จากคำบัญชา เพราะเป็นคำสอนของผู้ทรงบังเกิด ผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ ไม่ว่าการสอนเกี่ยวกับคุณลักษณะของพระองค์ และการกระทำของพระองค์ หรือสิ่งที่เกี่ยวกับสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหลาย ทั้งหมดคือกรรมสิทธิ์และการครอบครองของพระองค์ มนุษย์มีหน้าที่ในการเสาะแสวงหาวิธีการทำความเข้าใจ และนั่นคือเป้าหมายที่พระองค์ส่งศาสนทูตเพื่อชี้แจงและให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคำสั่งใช้ของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้หรือวิธีการปฏิบัติ
อัลลอฮ์ ได้ตรัสถึงคุณลักษณะและหน้าที่ของอัลกุรอานไว้ความว่า
ความเท็จจากข้างหน้าและข้างหลังจะไม่เข้าไปสู่อัลกุรอานได้(เพราะ)เป็นการประทานจากพระผู้ทรงปรีชาญาณผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ (อัลกุรอาน 41 : 42)
และเราเรามิได้ให้คัมภีร์นี้ลงแก่เจ้า(โอ้มุฮัมมัด) เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อให้เจ้าชี้แจงให้แจ่มแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน และเพื่อเป็นการชี้แนวทางและเป็นความเมตตาแก่หมู่ชนผู้ศรัทธา (อัลกุรอาน 16 : 64)
การอ่านและเรียนรู้วันปรโลก(อะคิเราะฮ์)
พระบัญชาให้อ่านครั้งที่สามที่ระบุไว้ในอัลกุรอาน คืออัลลอฮ์ ตรัสความว่า
เจ้าจงอ่านบันทึกของพวกเจ้า พอเพียงแก่พวกเจ้าแล้ววันนี้ที่จะเป็นผู้ชำระบัญชีของตัวเจ้าเอง (อัลกุรอาน 17:14)
คำสั่ง จงอ่านจะปรากฏในอัลกุรอานเพียงสามครั้งเท่านั้น สองครั้งใน 5 โองการแรกใน ซูเราะฮ์อัลอะลัก ส่วนครั้งที่สามจะปรากฏในซูเราะฮ์อัลอิสรออ์ สองครั้งที่กล่าวถึงในซูเราะฮ์อัลอะลักเป็นประโยคคำสั่งที่ไม่เจาะจงว่าต้องอ่านอะไร ซึ่งเป็นการให้ความหมายที่กว้างและครอบคลุมถึงสรรพสิ่งต่างๆที่เป็นสัญญาณ(อายาต)ของอัลลอฮ์ ในขณะที่ จงอ่าน ที่กล่าวในซูเราะฮ์ อัลอิสรออ์ จะมีกรรมบ่งบอกถึงสิ่งที่จะต้องอ่าน คือ สมุดบันทึกของเจ้า คือสมุดบันทึกการปฏิบัติของมนุษย์ที่ถูกนำเสนอในวันแห่งการตัดสิน(วันอาคิเราะฮ์) เพื่อเปิดเผยถึงการงานและการปฏิบัติต่างๆที่ได้กระทำมาบนโลกนี้ เป็นการตัดสินขั้นสุดท้ายที่มนุษย์พึงได้รับ เพื่อกำหนดว่าเขาควรได้รับสวนสวรรค์หรือขุมนรก
เป็นที่น่าเสียดายยิ่งที่พระบัญชา จงอ่าน ของอัลลอฮ์ ทั้งสองครั้งที่พระองค์ทรงใช้ให้มนุษย์ทำความเข้าใจในวิถีชีวิตและเข้าถึงศาสนาอิสลามนั้น มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญ อาจเป็นเพราะถูกอิทธิพลการปฏิเสธถึงการมีอยู่ของพระเจ้าเข้าครอบงำ หรือเพราะความเกียจคร้าน ซึ่งมนุษย์กลุ่มนี้ไม่เพียงแต่ปฏิเสธการอ่านแต่ยังปฏิเสธการรับฟังด้วย ซึ่งคุณลักษณะเช่นนี้เป็นคุณลักษณะของผู้อธรรมและงมงาย อัลลอฮ์ ตรัสไว้ความว่า
แท้จริง(มนุษย์)เป็นผู้อธรรมและงมงาย (อัลกุรอาน33 : 72)
อิสลามอาจยินยอมให้มุสลิมเป็นกลุ่มปุถุชน(อะวาม)ซึ่งอาจไม่มีความรู้ในอิสลาม แต่อิสลามไม่อนุญาตให้มุสลิมเป็นคนที่งมงายโดยเด็ดขาด
ส่วนคำสั่งที่ว่า จงอ่านสมุดบันทึกของเจ้า ที่อัลลอฮ์ ทรงบัญชาในวันอาคิเระฮ์นั้น มนุษย์ทุกคนไม่มีทางเลือก เว้นแต่ต้องน้อมรับและปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นบ่าวผู้ภักดีหรือผู้ปฏิเสธ ซึ่งการอ่านครั้งนี้จะทำให้มนุษย์รู้อย่างชัดแจ้งถึงสาเหตุของการได้รับผลตอบแทน โดยเฉพาะผลตอบแทนจากไฟนรก จงรับฟังคำสารภาพของบรรดาชาวนรกซึ่งอัลลอฮ์ ตรัสไว้ความว่า
และพวกเขา(ชาวนรก)กล่าวอีกว่า หากพวกเราฟังและใช้สติปัญญาใคร่ครวญ พวกเราก็จะมิได้มาอยู่เป็นชาวนรกอย่างนี้ดอก (อัลกุรอาน 67 : 10)
สรุปความรู้ในทัศนะอัลกุรอาน เปรียบเสมือนแสงประทีปที่ส่องนำทางสู่ความจำเริญในโลกนี้และความสงบสุขในวันปรโลก(อาคิเราะฮ์) เป็นรัศมีที่มาจากอัลลอฮ์ ผ่านคำบัญชามาสู่บรรดานะบี โดยเฉพาะ นะบีและเราะซูลท่านสุดท้ายมุฮัมมัด และผ่านความคิดสติปัญญา นอกจากนี้ยังมีความรู้ที่ได้มาด้วยวิธีการพิเศษ ที่อัลลอฮ์ ทรงมอบให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ซึ่งเรียกว่า การดลใจ ทั้งหมดนี้คือแก่นแท้ของความรู้ในทัศนะอิสลามที่มาจากท่านนะบีมุฮัมมัด
อิสลามเป็นศาสนาของอัลลอฮ์ ซึ่งทรงประทานความรู้ที่เที่ยงแท้แก่บ่าวของพระองค์ตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งใดก็ตามที่เป็นความจริงมันคือความรู้จากอัลลอฮ์ คือแก่นแท้ของศาสนาอิสลามที่มีอัลกุรอานเป็นรากฐานและซุนนะฮ์เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ดังนั้นความรู้คืออิสลามและอิสลามคือความรู้ และความรู้หรือประสบการณ์ที่ไม่ขัดกับอิสลามนั้นคือคำบัญชาจากอัลลอฮ์ นั่นเอง
ทั้งหมดนี้คือภาพลักษณ์ความรู้ตามทัศนะอัลกุรอาน ที่ประมวลจากหลักคำสอนของโองการแรกความว่า จงอ่าน ซึ่งเป็นกุญแจเปิดประตูสู่ความรู้ ไม่ว่าจะมีเป้าหมายเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในโลกนี้หรือความผาสุกในวันปรโลก(อะคิเราะฮ์)ก็ตาม มนุษย์จะต้องดำเนินชีวิตภายใต้กรอบคำสั่ง จงอ่านในโลกนี้ และ จงอ่าน ในวันปรโลก(อาคิเราะฮ์) ทั้งนี้เพราะชีวิตในโลกนี้และในวันปรโลก(อะคิเราะฮ์)ตั้งอยู่บนพื้นฐานของสัจธรรมแห่งความรู้เท่านั้น
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราทั้งหลายจะยึดมั่นอิสลามเป็นวิถีชีวิตด้วยความรู้และความเข้าใจบนพื้นฐานคำบัญชาของอัลลอฮ์ อย่างถูกต้องถาวรและยั่งยืน
หนังสือวิถีชีวิตอิสลาม
الكاتب : مرسلان محمد
โดย อ.มัสลัน มาหะมะ
อิกเราะฮ์ (จงอ่าน) >>>>Click