หลักฐานที่ยืนยันการลงโทษในหลุมฝังศพ
จาก อะมะตุ้ลญะลิ้ล
1. หลักฐานจากพระคัมภีร์ที่ว่า
" ไฟนรกนั้นพวกเขาจะถูกนำมาให้เห็นทั้งในยามเช้า และยามเย็น
และวันกิยามะฮฺนั้น จะมีเสียงกล่าวว่า จะให้บริวารของฟิรเอานเข้าไปรับการลงโทษอันสาหัสยิ่ง"
( อัล-ฆอฟิร 40 / 46 )
บัญญัติได้ระบุถึงการลงโทษในโลกหน้าว่าจะมีขึ้นภายหลัง การลงโทษจากไฟนรกที่เกิดขึ้นทั้งยามเช้าและยามเย็น การระบุลักษณะเช่นนี้บ่งชี้ว่า การลงโทษทั้งสองครั้ง คือในโลกหน้าและก่อนการปรากฏของโลกหน้า เป็นคนละอย่าง คนละเวลากัน ซึ่งก็หมายถึงการลงโทษที่เกิดขึ้นในโลกแห่งหลุมฝังศพนั่นเอง
2. ท่านศาสดา กำชับว่า
"ให้ขอความคุ้มครองต่อพระผู้เป็นเจ้า ให้พ้นจากการลงโทษในหลุมฝังศพ
ความวุ่นวายของการมีชีวิตและการตาย และให้พ้นจากความวุ่นวายของจอมโกหก"
( ผู้ที่ถูกสัญญาไว้ว่าจะปรากฏตัวเพื่อสร้างความอลหม่านบนหน้าแผ่นดิน เมื่อใกล้ยามอวสานโลก )
3. หลักฐานจากวจนะท่านศาสดา
เมื่อครั้งที่ท่านผ่านหลุมฝังศพ 2 หลุม ท่านศาสดา กล่าวว่า
“ทั้งสองนี้กำลังถูกลงโทษ ซึ่งสาเหตุที่ทั้งสองถูกลงโทษนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร คนหนึ่งสะเพร่าไม่ระวังรอบคอบในการปัสสาวะ(ล้างปัสสาวะไม่สะอาด) ส่วนอีกคนหนึ่งเที่ยวกล่าวให้ร้ายผู้อื่น ท่านได้ขอให้เอาก้านอินทผาลัมมา แล้วแบ่งเป็น2ส่วน และกล่าวว่า “ หวังว่ามันจะช่วยผ่อนเบาแก่เขาทั้งสองตราบใดที่มันยังไม่แห้ง”
( บันทึกโดยอิหม่าม บุคอรีและมุสลิม )
มีรายงานจากท่านอัลบะร็ออ์ บุตรของ อาซิบแจ้งว่า พวกเราได้ออกไปงานศพของชายชาวอันศ็อรผู้หนึ่งพร้อมกับท่านร่อซู้ล และได้สิ้นสุดที่หลุมศพแห่งหนึ่ง ท่านเราะซูล ได้นั่ง ( หันหน้าไปทางทิศกิบลัต ) โดยที่พวกเรานั่งห้อมล้อมท่าน ในมือท่านมีกิ่งไม้ที่ใช้เขี่ยไปมาบนพื้นดิน ( ท่านเงยหน้ามองฟ้าแล้วก้มมองพื้นดิน มองไปมาเช่นนี้ 3 ครั้ง ) พร้อมกล่าวว่า:
"พวกท่านจงขอความคุ้มครองจากอัลลอฮให้พ้นจากการลงโทษในหลุมฝังศพ แท้จริง บ่าวผู้ศรัทธา เมื่อตัดขาดขากโลกดุนยา ( โลกนี้ ) เข้าสู่โลกอาคิเราะฮฺ ( โลกหน้า ) จะมีมะลาอิกะฮจากฟากฟ้าลงมาหาเขา มีใบหน้าขาวผ่องดั่งดวงอาทิตย์ ท่านเหล่านั้นจะนำผ้าห่อกะฝั่น ( ผ้าห่อวิญญาณ ) และเครื่องหอมที่มาจากสวนสวรรค์ จะนั่งลงในระดับที่สายตามองเห็น มะลาอิกะฮ์แห่งความตายก็จะลงมานั่งตรงศรีษะของเขา ( ผู้ตาย ) พลางกล่าว่า : “โอ้ ชีวิตที่ดี จงออกมาสู่การอภัยโทษ และการโปรดปรานของอัลลอฮ์เถิด”
หลังจากนั้นวิญญาณของผู้ตายก็จะค่อยๆหลุดลอยออกจากร่าง เสมือนน้ำที่ค่อยๆไหลออกมาจากเหยือกน้ำ แล้วมะลาอิกะฮ์จะห่อวิญญาณเขาด้วยผ้าห่อวิญญาณและเครื่องหอมที่นำมา ( ซึ่งมีกลิ่นหอมที่สุดเท่าที่เขาเคยพบ ) และจะพาวิญญาณขึ้นสู่ฟากฟ้า
ไม่ว่าจะผ่านมะลาอิกะฮ์ท่านใดก็จะมีเสียงถามขึ้นว่า : วิญญาณที่ดีนี้คือใครกัน?
มะลาอิกะฮ์ที่นำขึ้นไปจะกล่าวตอบว่า :คือคนนั้น บุตรของคนนั้น ( ชื่อของผู้ตาย ) จะถูกเรียกด้วยชื่อที่ดีที่สุดที่ถูกเรียกขณะที่เขาอยู่ในดุนยา ( โลกนี้ ) จะเป็นเช่นนี้จนกระทั่งสิ้นสุดที่ชั้นฟ้าแห่งดุนยา ประตูแห่งฟากฟ้าก็จะเปิดรับเขา และบรรดามะลาอิกะฮ์แต่ละชั้นฟ้าก็จะมาส่งเขาจนกระทั่งถึงชั้นฟ้า ชั้นที่ 7
อัลลอฮ จะตรัสว่า พวกเจ้าจงบันทึกบ่าวของฉันผู้นี้ไว้ที่ ”อิ้ลลียูน”เมื่อบันทึกแล้ว พระองค์ตรัสอีกว่า "จงนำเขากลับไปยังพื้นแผ่นดิน แท้จริงข้าได้สัญญากับพวกเขาว่า ข้าได้สร้างพวกเขามาจากดิน และข้าจะให้พวกเขากลับไปสู่ดิน และจากดิน ข้าจะนำพวกเขาออกมาอีกครั้งหนึ่ง"
"และอันใดเล่าทำให้เจ้ารู้ได้ว่า อิ้ลลียูน คืออะไร คือบันทึกที่ถูกจารึกไว้
บรรดาผู้ที่อยู่ใกล้ชิด (มลาอิกะฮ์) จะเป็นผู้ดูแลรักษา "
( อัลมุฏอฟฟิฟีน 83 / 19 – 21 )
เมื่อบันทึกแล้ว พระองค์ตรัสอีกว่า : จงนำเขากลับไปยังพื้นแผ่นดิน แท้จริงข้าฯได้สัญญากับพวกเขาว่า ข้าฯ สร้างพวกเขามาจากดิน และข้าฯจะให้พวกเขากลับไปสู่ดิน และจากพื้นดิน ข้าฯจะนำพวกเขาออกมาอีกครั้งหนึ่ง
และวิญญาณของเขาจะกลับเข้าสู่ร่างของเขา ( ในหลุมฝังศพ ) และจะมี มลาอิกะฮฺสองท่าน ( มุนกัร และ นากิร ) มา ถามเขาว่า :
“ ใครคือพระเจ้าของเจ้า ?” “อะไรคือศาสนาของเจ้า ?” และ “ใครคือศาสดาของเจ้า ?”
เขาก็จะกล่าวตอบว่า : อัลลอฮ คือ พระเจ้าของฉัน ศาสนาอิสลามเป็นแนวทางของฉัน
และมลาอิกะฮฺทั้งสองท่านก็จะถามอีกว่า “ท่านเคยกล่าวเช่นไร เกี่ยวกับชายคนนี้ ( ท่านศาสดา มุฮัมหมัด ) ?”
เขาจะตอบว่า : “ท่านเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ”
มะลาอิกะฮ์ทั้งสองจะกล่าวอีกว่า :” อะไรทำให้ท่านคิดเช่นนี้”
เขาจะตอบว่า : “หลักฐานอันชัดแจ้งของอัลลอฮได้มาสู่เรา แล้วฉันก็ได้ศรัทธาและเชื่อมั่นต่อท่าน”
ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า " อัลลอฮ ทรงให้บรรดาผู้ศรัทธา ยืนหยัดหนักแน่นด้วยคำกล่าวที่มั่นคง ในการมีชีวิตทั้งในโลกนี้และโลกหน้า "
( อิบรอฮีม 14 / 27 )
หลังจากนั้นจะมีเสียงจากฟากฟ้าว่า "บ่าวของข้าคนนี้ศรัทธาจริง ดังนั้นพวกเจ้าจงปูทางให้เขาจากสรวงสวรรค์ และสวมอาภรณ์ให้เขาจากสรวงสวรรค์ และเผยให้เขาเห็นที่พำนักของเขาในสรวงสวรรค์"
และหลุมฝังศพก็จะถูกขยายให้กว้างจนสุดตาเขา การงานของเขาจะถูกจำแลงกายมาในรูปลักษณ์ของชายรูปงามคนหนึ่ง มีกลิ่นหอม สวมใส่อาภรณ์ที่สวยงาม แล้วกล่าวแก่เขาว่า : ฉันมาแจ้งข่าวดี ถึงสิ่งที่อัลลอฮทรงสัญญาไว้ให้กับท่าน ถึงความโปรดปรานจากพระองค์ และสรวงสวรรค์อันผาสุก
เขา( ผู้ตาย ) จะกล่าวตอบว่า : ท่านเป็นใคร ใบหน้าของท่าน เป็นใบหน้าที่บ่งบอกว่าจะนำมาซึ่งความดี
การงานของเขาก็จะตอบว่า : นี่คือวันที่ท่านได้ถูกสัญญาไว้ ฉันคือการงานที่ดีของท่าน ขอสาบานต่ออัลลอฮว่า สิ่งที่ฉันรับรู้มาจากท่านก็คือ ท่านเป็นผู้ที่รีบเร่งในการเชื่อฟังอัลลอฮ เชื่องช้าในการฝ่าฝืนพระองค์ ขออัลลอฮทรงตอบแทนความดีให้แก่ท่าน
เขาจะกล่าวว่า :โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดทรงให้วันสิ้นโลกมาถึงโดยเร็วเถิด เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้กลับไปหาครอบคัวและทรัพย์สินของข้าพระองค์
แล้วท่านศาสดา ได้กล่าวต่อไปอีกว่า : "แท้จริง บ่าวผู้ปฏิเสธศรัทธา เมื่อตัดขาดขากโลกนี้ เข้าสู่โลกหน้า จะมีมะลาอิกะฮ์จากฟากฟ้าลงมาหาเขาด้วยใบหน้าดำคล้ำ นำผ้าห่อผ้าห่อวิญญาณมาจากนรก (เป็นผ้าที่หยาบ กระด้าง และระคายผิว) โดยจะนั่งลงในระดับที่สายตามองเห็น แล้วมะลาอิกะฮฺแห่งความตายก็จะลงมานั่งตรงศีรษะของเขา ( ผู้ตาย ) พลางกล่าวว่า “โอ้ ชีวิตที่เลว จงออกมาสู่ความโกรธกริ้วของอัลลอฮเถิด”
แล้ววิญญาณก็จะถูกกระชากออกมาอย่างแรง จนทำให้เส้นเลือดและเส้นประสาทฉีกขาด เสมือนการกระชากเหล็กเสียบเนื้อที่มีหลายเเฉก ออกจากขนสัตว์ที่เปียกชื้น ( หมายความว่า ฝืดมากและออกมาอย่างยากลำบาก ) แล้วมะลาอิกะฮฺก็จะห่อวิญญาณเขาด้วยผ้าห่อวิญญาณที่มาจากขุมนรก ( ซึ่งมีกลิ่นเหม็นที่สุดเท่าที่เขาเคยพบ ) และจะพาวิญญาณขึ้นสู่ฟากฟ้า ไม่ว่าจะผ่านมะลาอิกะฮฺท่านใดก็จะมีเสียงถามขึ้นว่า : “วิญญาณที่เลวนี้คือใครกัน?”
มะลาอิกะฮฺที่นำขึ้นไปจะกล่าวตอบว่า : “ คือคนนั้น บุตรของคนนั้น” ( ชื่อของผู้ตาย ) จะถูกเรียกด้วยชื่อที่เลวที่สุดที่ถูกเรียกขณะที่เขาอยู่ในโลกนี้
เมื่อพามาจนถึงฟากฟ้า ก็จะมีเสียงกล่าวว่า : จงพาเขากลับไปยังพื้นแผ่นดิน แท้จริงข้า ได้สัญญากับพวกเขาว่า ข้าสร้างพวกเขามาจากดิน และข้าจะให้พวกเขากลับไปสู่ดิน และจากพื้นแผ่นดิน ข้าจะนำพวกเขาออกมาอีกครั้งหนึ่ง
" และผู้ใดตั้งภาคีต่ออัลลอฮ เสมือนว่าเขาร่วงลงมาจากฟากฟ้า แล้วนกก็บินเฉี่ยวเอาเขาไป หรือลมได้พัดพาเขาไปในดินแดนอันไกลโพ้น "
( อัลฮัจญ์ 22 / 31 )
และวิญญาณของเขาจะกลับเข้าสู่ร่างของเขา ( ในหลุมฝังศพ ) และจะมี มลาอิกะฮ์สองท่าน ( มุนกัร และ นากิร ) มา ถามเขาว่า :
“ ใครคือพระเจ้าของเจ้า ?” “อะไรคือศาสนาของเจ้า ?”
เขาจะตอบว่า “ฉันไม่รู้”
ท่านทั้งสองจะถามอีกว่า “ท่านเคยกล่าวเช่นไร เกี่ยวกับชายคนนี้ ( ท่านศาสดา มุฮัมหมัด ) ?”
เขาจะตอบว่า “ ฉันได้ยินเขาพูดกัน ฉันเลยพูดตามที่เขาพูด ฉันไม่รู้”
ทันใดนั้น แผ่นดินก็จะบีบเข้าหาเขา จนกระทั่งซี่โครงของเขาซ้อนเข้าหากัน การงานของเขาจะถูกจำแลงกายมาในรูปลักษณ์ของชายรูปร่างอัปลักษณ์ มีกลิ่นเหม็น สวมใส่อาภรณ์ที่น่าเกลียด แล้วกล่าวแก่เขาว่า : ฉันมาแจ้งข่าวดี ถึงการลงโทษ และความโกรธกริ้วของอัลลอฮ์
เขา( ผู้ตาย ) จะกล่าวตอบว่า : ท่านเป็นใคร ใบหน้าของท่าน เป็นใบหน้าที่บ่งบอกว่าจะนำมาซึ่งความเลวร้าย
การงานของเขาก็จะตอบว่า : ฉันคือการงานที่เลวของท่าน ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า สิ่งที่ฉันรับรู้มาจากท่านก็คือ ท่านเป็นผู้ที่เชื่องช้าในการเชื่อฟังอัลลอฮ รวดเร็วในการฝ่าฝืนพระองค์ แล้วอัลลอฮ์ก็จะส่งชายผู้หนึ่ง ตาบอด เป็นใบ้ หูหนวก ในมือถือตะบอง ซึ่งตะบองนี้เมื่อฟาดไปบนภูเขาลูกหนึ่ง จะกลายเป็นผุยผงภายในพริบตา
ชายผู้นั้นจะใช้ตะบองนี้ ฟาดผู้ตายจนกลายเป็นผุยผง หลังจากนั้น อัลลอฮ์ก็จะทรงให้เขากลับกลายมามีสภาพดังเดิม แล้วเขาก็จะถูกกระหน่ำตีอีกครั้ง จนต้องตะโกนร้องออกมาอย่างสุดเสียง ทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น จะได้ยินเสียงกรีดร้องนั้น นอกจากญินและมนุษย์เท่านั้น แล้วประตูนรกก็จะถูกเปิด เพื่อรับเขา แล้วเขาจะถูกปูทางด้วยผ้าปูทางของนรก
เขาพูดขึ้นว่า โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดอย่าให้วันสิ้นโลกเกิดขึ้นเลย”
( บันทึกโดย อบูดาวู๊ด และอิมาม อะฮฺหมัด )
วิญญาณหรือร่างกายที่ได้รับการตอบแทน?
นักปราชญ์อิสลามมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่อง การได้รับผลตอบแทนของผู้ตายในหลุมฝังศพ ว่าจะเกิดขึ้นเฉพาะแก่วิญญาณหรือทั้งวิญญาณและร่างกาย โดยแบ่งทัศนะความคิดเป็น 3 ทัศนะ
ทัศนะที่ 1 เห็นว่า จะถูกตอบแทนโดยที่ทั้งวิญญาณและร่างกายรับรู้ร่วมกัน ซึ่งถือว่าทัศนะนี้มีน้ำหนักมากที่สุด แต่จะด้วยวิธีการ หรือรูปแบบใดนั้น ถือเป็นสิทธิของพระองค์อัลลอฮ์เพียงองค์เดียวเท่านั้น
ทัศนะที่ 2 เห็นว่าวิญญาณเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่จะได้รับการตอบแทนในหลุมฝังศพ เพราะถือว่าตัดขาดจากร่างกายไปแล้ว
ทัศนะที่ 3 ควรยุติการถกเถียงในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องเร้นลับ
ระยะเวลาการถูกลงโทษ
นักปราชญ์กลุ่มหนึ่งมีความเห็นว่า การลงโทษในหลุมฝังศพ จะคงอยู่อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ส่วนนักปราชญ์อีกกลุ่มหนึ่ง ให้ทัศนะว่า การลงโทษที่มีในหลุมฝังศพ ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันตลอดเวลา โดยนักปราชญ์กลุ่มนี้แบ่งการลงโทษออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. การลงโทษแบบตลอดกาล ซึ่งจะมีแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธา
2. การตอบแทนที่จำกัดระยะเวลา ซึ่งมีแก่ผู้ฝ่าฝืนที่มีสถานะความผิดลดหลั่นลงมา การถูกลงโทษก็จะเป็นไปในระดับความผิดของเขา และถูกลดหลั่นให้เบาบางลง
ท่าทีของมุสลิมที่มีต่อการตอบแทนและการลงโทษในหลุมฝังศพ
บทบัญญัติอิสลามได้แจ้งให้ผู้ศรัทธารับทราบถึงความโปรดปรานและความทุกข์ทรมานในหลุมฝังศพ ก็เพื่อเป็นความเอ็นดูเมตตาแก่มนุษย์ เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ที่จะคิดพิจารณาในการกระทำของตน และเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้มีศรัทธาพยายามขวนขวาย ตักตวงเสบียงแห่งคุณธรรมความดีตามที่อิสลามชี้นำไว้ให้มากที่สุด เพราะการงานที่ดีเท่านั้นที่จะอยู่เคียงข้างเขาในบ้านแห่งความเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย เป็นอาวุธป้องกันภยันตรายในบ้านแห่งอสรพิษ และเป็นแสงสว่างในบ้านแห่งความมืดมิดและน่าสะพรึงกลัว
มุสลิมมีหน้าที่เชื่อมั่น และศรัทธาตามหลักฐานที่ท่านศาสดาทั้งหลายนำมา สติปัญญาอันมีขอบเขตจำกัดของมนุษย์ไม่บังควรที่จะวิจารณ์ หรือแสดงความคิดเห็นเป็นอื่น เพราะสิ่งที่ท่านศาสดานำมาล้วนเป็นความจริงเสมอ และแน่นอนว่า ไฟ หรือ ความเขียวชอุ่ม ในหลุมฝังศพนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการตอบแทนในโลกหน้า จึงมีสภาพแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับความร้อนและความร่มรื่นในโลกนี้ จึงไม่สามารถคาดคะเนหรือจินตนาการใดๆได้
เดชานุภาพของอัลลอฮ พระผู้เป็นเจ้านั้น กว้างใหญ่ไพศาล มหัศจรรย์ยิ่งนัก และเมื่อพระองค์ประทานให้บ่าวบางคนของพระองค์ได้เห็นการลงโทษในหลุมฝังศพ พระองค์ก็ทรงให้เขาได้เห็น และไม่ให้ผู้อื่นได้เห็น ท่านศาสดา กล่าวว่า
“ หากฉันไม่เกรงว่ามนุษย์จะไม่ไปฝังศพกันแล้ว ฉันก็จะวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์
ให้พระองค์ทรงทำให้พวกท่านได้ยินการลงโทษในหลุมฝังศพอย่างที่ฉันได้ยิน ”
และหากเหตุผลแห่งความโปรดปรานนี้ ปรากฏอยู่ที่สิงห์สาราสัตว์แล้ว แน่นอนมันย่อมจะได้ยินและรู้ดี ดังที่ฬ่อ(ล่อ)ได้เคยทำกับท่านศาสดา คือมันแผลงฤทธิ์ จนกระทั่งทำให้ท่านศาสดาเกือบจะตกจากหลังของมัน ขณะที่ท่านขี่ฬ่อ(ล่อ)ผ่านผู้ที่กำลังถูกลงโทษในหลุมฝังศพ
การที่พระองค์ทรงผันสายตาบ่าวของพระองค์ มิให้เห็นเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดกับผู้ได้รับการลงทัณฑ์ในหลุมฝังศพ ถือเป็นความโปรดปราน และเป็นความเอ็นดูเมตตาแก่มนุษย์ เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะทนดู หรือ ทนฟังได้ มนุษย์มีสายตาและการรับฟังที่อ่อนแอที่สุด จนไม่สามารถจะรับรู้สภาพการลงทัณฑ์ใดๆในหลุมฝังศพได้เลย
จึงพอเพียงแก่ผู้มีศรัทธาแล้ว เมื่อได้รับทราบถึงสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในหลุมฝังศพ ที่ต้องรีบเร่งกักตุนเสบียง เตรียมพร้อมกับการเดินทางอันแสนไกลและเนิ่นนาน เพื่อให้โลกในหลุม เป็นบ้านที่เขาได้พักผ่อนจากความเหน็ดเหนื่อย จากความยากลำบาก และละวางจากภาระการงานในโลกดุนยานี้อย่างสุขสงบและปลอดภัย รอวันซึ่งเขาจะได้ออกจากผืนแผ่นดินอีกครั้งอย่างภาคภูมิ
" จากแผ่นดินเราได้บังเกิดพวกเจ้า และ ณ แผ่นดินนั้นเราจะให้พวกเจ้ากลับคืนไป
และจากแผ่นดินนั้น เราจะให้พวกเจ้ากลับออกมาอีกครั้งหนึ่ง "
( ฏอฮา 20/55 )
สรุป
กวีอาหรับ กล่าวว่า “ ความตาย คือ แก้วน้ำที่ทุกคนจะได้ดื่ม หลุมศพ คือ ประตูที่ทุกคนจะได้เข้า”
อิสลามเน้นย้ำให้มนุษย์รำลึกถึงความตายอยู่เป็นอาจิณ ความตายเปรียบเสมือนราชสีห์ที่พร้อมจะกระโจนตระครุบเล่นงานเหยื่ออยู่ทุกเมื่อ โดยไม่เปิดโอกาสให้ประวิงเวลาหรือร้องขอความเห็นใจใดๆ
" และสำหรับแต่ละประชาชาตินั้น มีกำหนดระยะเวลาหนึ่ง
ครั้นเมื่อกำหนดระยะเวลาของพวกเขามาแล้ว พวกเขาจะขอผ่อนให้ล่าช้าไปสักชั่วโมงหนึ่ง ก็ไม่ได้
และจะขอร่นเวลาให้เร็วขึ้น ( สักชั่วโมงหนึ่ง ) ก็ไม่ได้ "
( อัล-อะอ์รอฟ 7/34 )
เมื่อวิญญาณอำลาจากร่างกาย ย้ายสู่ที่พำนักแห่งใหม่ที่เรียกว่า “โลกหลังความตาย” ทุกสิ่งอย่างที่มนุษย์ขวนขวาย ไขว่คว้าให้ได้มาในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดสามารถติดตามไปสู่ที่พำนักแห่งนั้นได้เลย คนที่เขารัก ทรัพย์ที่เขาหวงแหน เกียติยศที่เขากอบโกย ต่างทิ้งเขาไว้เบื้องหลังเป็นเพียงอดีตและความทรงจำที่ถูกลืมในระยะเวลาอันใกล้ ท่านศาสดา กล่าวว่า
“ เมื่อลูกหลานของอาดัมตายลง การงานของเขาเหล่านั้นจะขาดตอน เว้นแต่ 3 ประการคือ
ทานที่เป็นการถาวร หรือวิชาความรู้ที่ยังประโยชน์ หรือ ลูกที่ดีขอพรให้แก่เขา”
การดำเนินชีวิตของผู้ศรัทธาในโลกนี้ จึงไม่อาจแยกขาดจากการกระทำเพื่อชีวิตในโลกหน้า ชีวิตในโลกนี้จึงเปรียบเสมือนการเดินทางของนักพเนจร ไม่ว่าจะสั้นหรือยาว สักวันก็ต้องกลับคืนสู่มาตุภูมิอย่างเลี่ยงไม่ได้ คงเหลือแต่เพียงผลกรรมของวันนี้ที่ได้ประกอบไว้ในโลกแห่งการกระทำ เพราะสำหรับวันพรุ่งนี้ คือโลกแห่งการตอบแทน มีแต่เพียงการคิดบัญชีและปราศจากการกระทำอื่นใดอีกแล้ว
เมื่อวาระการสิ้นสุดของชีวิตหลังความตายมาถึง เมื่อนั้นจุดเริ่มต้นแห่งกาลอันนิรันดร์จะแทรกเข้าแทนที่ มนุษย์คนแรกจวบจนคนสุดท้ายแห่งโลก ถูกปลุกเพื่อรับฟังคำพิพากษาจากเอกองค์อภิบาล ผู้ซึ่งรวดเร็วในการคิดบัญชี และเที่ยงธรรมอย่างที่สุดในการพิพากษา และที่พำนักถัดไปจากนี้ของมนุษย์จะคงเหลือเพียง สองที่เท่านั้น คือ สรวงสวรรค์อันสถาพร หรือขุมไฟแห่งเหวนรกอเวจี
"มนุษย์คิดหรือว่า เขาจะถูกปล่อยไว้โดยไร้จุดหมายกระนั้นหรือ ?
เขามิได้เป็นหยดหนึ่งจากน้ำอสุจิที่ถูกพุ่งออกมากระนั้นหรือ ?
แล้วได้กลายเป็นก้อนเลือดก้อนหนึ่ง แล้วพระองค์ทรงบังเกิด แล้วก็ทรงทำให้ได้สัดส่วนสมบูรณ์
แล้วพระองค์ทรงทำให้เขาเป็นคู่ เป็นเพศชายและเพศหญิง
ดังนั้น พระองค์จะไม่สามารถที่จะให้คนตายมีชีวิตขึ้นมาอีกกระนั้นหรือ? "
( อัล –กิยามะฮ์ 75 / 36-40)
บรรณานุกรม
- สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับแปลไทย,มะดีนะฮฺ:ศูนย์กษัตริย์ ฟะฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรอาน”n.d.”
- เกาซัร อีซา.“ โลกแห่งวิญญาณ และ ความตาย” สายสัมพันธ์ ปีที่ 38 (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2546):38,41-42
- ก็อดรียะฮฺ ชีฮาบุดดีน. ศึกษาหลักศรัทธาอิสลามในด้านความลี้ลับ ,ม.อัล-อัศฮัร “n.d.”
- ซอและฮฺ บิน เฟาซาน อัลเฟาซาน .”ตอบโต้การสงสัยคลุมเครือของพวกปฏิเสธการลงโทษและความสุขสำราญในหลุมฝังศพ” แปลโดย อิมรอน มะกูดี ,สายสัมพันธ์ ปีที่ 23 (กรกฎาคม-สิงหาคม 2531 ): 45-46
- เชค มุฮัมหมัด นาศิรุดดีน อัล-อัลบานียฺ.ชีวิตหลังความตาย แปลโดย ม.ดอยฉิมพลี, มูลชี้นำสู่สันติสุข”ม.ป.ป.”
- สายสัมพันธ์ . การฟื้นคืนชีพ กรุงเทพฯ :พิทักษ์การพิมพ์,2522
- อัล-กุรฏุบีย์. อุทาหรณ์จากสภาพของผู้ตายและปรโลก ,ไคโร:สำนักพิมพ์ อัล-มะนาร “n.d.”
- อัล-มุฮาญิร. “การศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับ” , สายสัมพันธ์ ปีที่ 35 (พฤษภาคม-มิถุนายน 2541) : 49-51, 53-54
- อัสมา.ชีวิตหลังความตาย ,สายสัมพันธ์ ปีที่ 23 (มีนาคม-เมษายน 2532 ) : 62-65
- [ online ]. Available : http://globalquran.com/ [ Accessed 19 Jan 2008 ]