มะลาอิกะฮ์...ผู้ปลิดชีวิต
  จำนวนคนเข้าชม  22247

 

มะลาอิกะฮ์  ผู้ปลิดชีวิต

จาก อะมะตุ้ลญะลิ้ล

มุสลิมจำเป็นต้องศรัทธาว่า เมื่อความตายมาถึง จะมีเทวทูตแห่งความตาย ถูกมอบหมายจากพระผู้เป็นเจ้าให้ทำหน้าที่ปลิดวิญญาณมนุษย์ ดังที่พระองค์ทรงตรัสยืนยันว่า


"(มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิด มะลัก(เทวทูต)ผู้ปลิดชีวิต ผู้ได้รับมอบหมายเกี่ยวกับพวกท่าน จะปลิดชีวิตของพวกท่าน

แล้วพวกท่านจะถูกนำกลับไปยังพระเจ้าของพวกท่าน"

( อัซซะญะดะฮ์  32 /11 )


          ท่านอิหม่าม กุรฏุบีย์ -ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ- ซึ่งเป็นนักอรรถาธิบายอัลกุรอานอาวุโสที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอบรับอย่างสูงในวงการมุสลิม ได้อธิบายถึงลักษณะความน่าสะพรึงกลัวของเทวทูตแห่งความตายไว้ว่า :

          “ - อัลลอฮ์ ทรงรู้ดียิ่ง -  ศรีษะของท่านจะอยู่ ณ ฟากฟ้า และเท้าของท่าน จะอยู่ ณ แผ่นดิน โลกดุนยาจะอยู่ในกำมือของท่าน เสมือนถ้วยชามที่อยู่ในมือของผู้ที่กำลังรับประทานอาหาร ท่านจะมองหน้ามนุษย์ 366 ครั้งต่อวัน ท่านจะยืนมองโลกใบนี้ เหมือนคนๆหนึ่งที่มองไข่ฟองหนึ่งที่อยู่ระหว่างขาทั้งสองของเขา ซึ่งมลาอิกะฮ์ ( เทวทูต )แห่งความตายนั้น มีบริวารอยู่มากมาย มีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ทราบถึงจำนวนอันแน่นอน  เทวทูตท่านอื่นๆจะเกรงกลัวเทวทูตแห่งความตาย มากกว่าที่คนหนึ่งคนใดในพวกท่านหวาดกลัวเสือร้ายเสียอีก


          คำอธิบายนี้เป็นเพียงบางส่วนของความน่าสะพรึงกลัวของเทวทูตแห่งความตาย ใครก็ตามที่เห็น ความหวาดกลัวจะเข้าไปสู่จิตใจของผู้นั้นทันที  ลักษณะของเทวทูตแห่งความตายนั้น ไม่สามารถที่จะอธิบายได้อย่างชัดเจน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นบทสรุปจากตัวบทฮะดีสหลายๆบทด้วยกัน ซึ่งเป็นความจริงที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

สภาพผู้ที่วิญญาณจะออกจากร่าง

 

          ความตายจะมาพร้อมกับความเจ็บปวด มึนงง และทุกข์ทรมานแก่ทุกคนที่ก้าวสู่ประตูแห่งความตาย พระคัมภีร์ ระบุว่า

 "และอาการมึนงงแห่งความตายได้ปรากฏขึ้นอย่างประจักษ์แจ้ง และนั่นคือสิ่งที่เจ้าจะหลีกเลี่ยงจากมันไปไม่ได้  " 

( ก็อฟ 50 / 19 )


          ท่านอิหม่าม อิบนุกะซีร-ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ-  กล่าวว่า :

         “ เมื่อเทวทูตแห่งความตายบอกเขาถึงการทรมาน และความโกรธกริ้วของอัลลอฮ   ที่มีต่อเขาแล้ว เทวทูตก็จะกระชากวิญญาณออกจากร่าง แต่เขาจะขัดขืนไม่ยอมออกจากร่าง  เทวทูตแห่งความตายก็จะกระหน่ำตีร่างผู้นั้น จนกระทั่งวิญญาณยอมออกจากร่าง ” 

พร้อมกับกล่าวดำรัสของพระองค์ที่ว่า

"จงให้ชีวิตของพวกเจ้าออกมา วันนี้พวกเจ้าจะได้รับการตอบแทน ซึ่งโทษแห่งความต่ำต้อย

เนื่องจากที่พวกเจ้ากล่าวให้ร้ายแก่อัลลอฮโดยปราศจากความจริง "

(  อัล-อันอาม 6 / 93 )


 ท่านอิหม่าม อิบนุกะซีร กล่าวต่ออีกว่า : 

        "หลังจากที่วิญญาณออกจากร่างแล้ว ผู้ตายจะอยู่ในโลกหลังความตาย จนถึงวันฟื้นคืนชีพ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งเร้นลับ ที่มุสลิมจำเป็นต้องศรัทธาว่า สิ่งที่มีระบุไว้ในพระคัมภีร์และในวจนะของท่านศาสดา   นั้นเป็นความจริง ถ้าผู้ใดปฏิเสธเรื่องดังกล่าวว่าไม่จริงแล้ว ก็ถือว่าเขาได้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง "


 

โลกหลังความตาย ( อาลัม บัรซัค )


 ความหมายทางภาษา “ บัรซัค ” เป็นภาษาอาหรับ หมายถึง สิ่งกีดกั้น ( a barrier )หรือ ที่จำแนกระหว่างสิ่งสองสิ่ง       

 ความหมายทางศาสนา

 - ช่วงเวลาอันเป็นที่พำนักของผู้ตายในหลุมฝังศพ ก่อนการฟื้นคืนชีพ

 - เวลาคั่นกลางระหว่างโลกแห่งผัสสะทั้งสอง คือโลกนี้และโลกหน้า 

          และถือได้ว่าตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ยังเป็นที่พำนักแห่งการตอบแทนอันผาสุกหรือการลงทัณฑ์อันเจ็บปวดทรมานที่ถาวรอีกด้วย พระคัมถีร์ระบุถึง บัรซัคว่า

           
"จนเมื่อความตายได้มาถึงใครคนหนึ่งของพวกเขา เขาได้กล่าวว่า โอ้ พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์

ได้โปรดให้ข้าพระองค์กลับไปมีชีวิตอีกครั้งหนึ่งเถิด เพื่อว่าข้าพระองค์จะได้ทำความดี ในสิ่งที่ข้าพระองค์ได้ละทิ้งไว้

เปล่าเลย มันเป็นเพียงถ้อยคำที่เขากล่าวมันไว้เท่านั้น 

และเบื้องหลังพวกเขายังมีบัรซัคขวางกั้น อยู่จนถึงวันที่พวกเขาจะถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมา"

( อัล-มุอฺมินูน 23/ 99-100 )


          การที่พระคัมภีร์ ได้อรรถาธิบายเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตหลังความตายไว้นั้น เป็นสิ่งที่สำนึกแห่งคุณธรรมของมนุษย์ต้องการ โดยแท้จริงแล้วในเรื่องชีวิตหลังความตายนั้น มีความสัมพันธ์กับการศรัทธาในพระเจ้า หรืออีกนัยหนึ่ง ถ้าเลือกศรัทธาเฉพาะเรื่องเดียว คือศรัทธาในพระเจ้า ก็ย่อมไม่เป็นการเพียงพอ

           การศรัทธาในชีวิตหลังความตาย ไม่เพียงแต่เป็นการประกันความสำเร็จแก่ชีวิตในโลกหน้าเท่านั้น แต่ยังทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความสงบสุข ด้วยการทำให้มนุษย์รู้จักตระหนักในหน้าที่ และรับผิดชอบอย่างเต็มที่

           จากประวัติศาสตร์ในอดีต เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า ชาวอาหรับในยุคสมัยที่ยังไม่ยอมเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตาย จะเห็นได้ว่าวิถีชีวิตหลักๆของพวกเขาดำรงอยู่บนการพนัน สุรายาเมา การสู้รบระหว่างเผ่าพันธุ์ การปล้นสดมภ์ คดโกง และฆาตกรรม แต่เมื่อเขาเหล่านั้นยอมรับศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว และเรื่องชีวิตหลังความตายแล้ว พวกเขากลับกลายเป็นประชาชาติที่มีระเบียบวินัยที่สุดในโลก ทิ้งความชั่วร้ายเลวทราม มีการช่วยเหลือกันและกันในยามแห่งความต้องการ ยุติการโต้เถียงด้วยกับความยุติธรรม และความเสมอภาคกัน

           ดังนั้น จึงอาจประมวลถึงเหตุผลที่ทำให้สมควรเชื่อในเรื่องการศรัทธาเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายไว้ดังนี้คือ

      1.  บรรดาศาสนทูตทุกท่าน ล้วนเรียกร้องเชิญชวนประชาชาติของท่านให้ศรัทธาในเรื่องนี้

      2. คราใดที่สังคมมนุษย์ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการศรัทธานี้ ย่อมจะก่อให้สังคมนั้น เป็นสังคมในอุดมคติที่มีแต่ความสงบสุขที่สุด ปลอดจากความชั่วร้ายทางสังคมและจิตใจ

      3. ประจักษ์พยานในประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า คราใดที่กลุ่มชนตั้งป้อมปฏิเสธศรัทธาในข้อนี้ แทนที่จะน้อมรับคำตักเตือนของศาสนทูตที่ได้ประกาศครั้งแล้วครั้งเล่า ครานั้นบรรดาชนกลุ่มนั้นทั้งหมด จะต้องถูกลงทัณฑ์จากพระผู้เป็นเจ้า

      4. คุณธรรม ความงาม และความมีเหตุมีผลของมนุษย์ได้เห็นสอดคล้องกันกับความเป็นไปได้ในเรื่องของชีวิตหลังความตาย

      5. คุณลักษณะอันทรงเกียรติของพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับความยุติธรรม และปรานีเสมอ ย่อมมีความหมายต่อเรื่องของชีวิตหลังความตาย 

 

การตอบแทนในหลุมฝังศพ


           การศรัทธาว่ามีการตอบแทนและการลงโทษในหลุมฝังศพนั้นเป็นความจริง ถือเป็นหนึ่งในหลักการศรัทธาที่มุสลิมทุกคนจำเป็นต้องเชื่อมั่น เพราะทั้งในพระคัมภีร์และในวจนะของท่านศาสดาได้ระบุยืนยันเอาไว้อย่างชัดเจน  มุสลิมเชื่อมั่นว่า ภายหลังจากแผ่นดินกลบใบหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ร่างกายจะไม่ไหวติง แต่วิญญาณของเขาจะยังคงรู้สึกและมีชีวิตเป็นนิรันดร์   ก้าวแรกที่เข้าสู่โลกแห่งใหม่ ที่เรียกว่าโลกแห่งหลุมฝังศพ หรือโลกแห่งวิญญาณ เขาจะดำเนินตามกฎระเบียบโลกแห่งนี้ ด้วยการได้รับผลกรรมตามที่ได้ประกอบไว้ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต

          ฉะนั้น ชีวิตในหลุมฝังศพ ซึ่ง ณ ที่นี้ย่อมรวมถึง ผู้ตายในทุกสภาพ ไม่ว่าจะถูกเผาหรือถูกสัตว์ร้ายเขมือบจนกลายเป็นผุยผง ล้วนแล้วแต่ก้าวเท้าเข้าสู่โลกหลังความตายอย่างพร้อมเพรียงและได้รับการตอบแทนตามผลกรรมอย่างครบถ้วนเช่นกัน


          ท่านศาสดา   กล่าวว่า

“ หลุมฝังศพนั้น คือบ้านหลังแรกของบ้านทั้งหลายในโลกหน้า

ใครก็ตามที่ปลอดภัยในบ้านหลังนั้น  สิ่งที่ตามมาภายหลังย่อมง่ายดายสะดวกสบายยิ่งกว่า และ

ใครที่ไม่ปลอดภัยในบ้านหลังนั้น  สิ่งที่ตามมาภายหลังย่อมรุนแรงยิ่งกว่านัก”

( บันทึกโดย อิหม่าม ติรมีซียฺและ อิบนุมาญะฮฺ)

      หลุมฝังศพจึงเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งจากสรวงสวรรค์ หรือเป็นส่วนหนึ่งจากขุมแห่งเปลวเพลิงได้ในเวลาเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่า เจ้าของบ้านหลังนั้นเป็นคนเช่นไร!!

 

 ในหลุมฝังศพ

           ชีวิตในบ้านหลังใหม่ เริ่มต้นจากวินาทีแรกที่วิญญาณถูกนำออกจากร่าง ผู้ตายจะยังคงรู้สึก ยังคงมองเห็น และยังคงได้ยิน ความเปลี่ยนแปลงรอบกายของเขา การรับรู้ทุกอย่างยังคงเดิม ต่างแค่เพียงไม่มีใครจะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงและความเป็นไปของเขาได้อีก

 วจนะท่านศาสดา   ระบุว่า

     “ แท้จริง บ่าวนั้น เมื่อเขาถูกวางลงในหลุมฝังศพของเขา และบรรดามิตรสหายได้ให้หลังจากเขาไป เขาจะได้ยินเสียงกระทบของรองเท้าของพวกเขา  แล้วจะมีเทวฑูตสองท่านมาหาเขา  ให้เขาลุกขึ้นนั่ง

     เทวทูตทั้งสองจะกล่าวว่า ท่านกล่าวเช่นไรถึงคนคนนี้ มุฮัมหมัด   ? 

     ผู้มีศรัทธาก็จะตอบว่า ฉันขอปฏิญาณว่า เขาเป็นบ่าว และทูตของอัลลอฮ 

     เทวทูตจะกล่าวกับเขาว่า : จงมองดูที่พำนักของท่านในสรวงสวรรค์เถิด แล้ว เขาได้เห็นมันทั้งหมด” 

( บันทึกโดย อิหม่าม บุคอรีและมุสลิม )

 ศาสดา   กล่าวว่า

 “ หลุมฝังศพ เปรียบได้กับส่วนหนึ่งของกลางคืนที่มืดสนิท หากท่านทั้งหลายรู้ดังที่ฉันรู้

ท่านทั้งหลายจะร้องไห้อย่างมาก และจะหัวเราะแต่น้อย

ท่านทั้งหลาย จงขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ ให้พ้นจากการลงทัณฑ์ในหลุมฝังศพ

 แท้จริง การลงทัณฑ์ในหลุมฝังศพนั้น เป็นความจริง"

( บันทึกโดย อิหม่าม อะฮฺหมัด )

 

 

 


 

หลุมฝังศพ... عالم البرزخ 1  >>> Click                                                               

 หลุมฝังศพ... عالم البرزخ  การลงโทษ    >>> Click