มะลาอิกะฮ์ ผู้ปลิดชีวิต
จาก อะมะตุ้ลญะลิ้ล
มุสลิมจำเป็นต้องศรัทธาว่า เมื่อความตายมาถึง จะมีเทวทูตแห่งความตาย ถูกมอบหมายจากพระผู้เป็นเจ้าให้ทำหน้าที่ปลิดวิญญาณมนุษย์ ดังที่พระองค์ทรงตรัสยืนยันว่า
"(มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิด มะลัก(เทวทูต)ผู้ปลิดชีวิต ผู้ได้รับมอบหมายเกี่ยวกับพวกท่าน จะปลิดชีวิตของพวกท่าน
แล้วพวกท่านจะถูกนำกลับไปยังพระเจ้าของพวกท่าน"
( อัซซะญะดะฮ์ 32 /11 )
ท่านอิหม่าม กุรฏุบีย์ -ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ- ซึ่งเป็นนักอรรถาธิบายอัลกุรอานอาวุโสที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอบรับอย่างสูงในวงการมุสลิม ได้อธิบายถึงลักษณะความน่าสะพรึงกลัวของเทวทูตแห่งความตายไว้ว่า :
“ - อัลลอฮ์ ทรงรู้ดียิ่ง - ศรีษะของท่านจะอยู่ ณ ฟากฟ้า และเท้าของท่าน จะอยู่ ณ แผ่นดิน โลกดุนยาจะอยู่ในกำมือของท่าน เสมือนถ้วยชามที่อยู่ในมือของผู้ที่กำลังรับประทานอาหาร ท่านจะมองหน้ามนุษย์ 366 ครั้งต่อวัน ท่านจะยืนมองโลกใบนี้ เหมือนคนๆหนึ่งที่มองไข่ฟองหนึ่งที่อยู่ระหว่างขาทั้งสองของเขา ซึ่งมลาอิกะฮ์ ( เทวทูต )แห่งความตายนั้น มีบริวารอยู่มากมาย มีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ทราบถึงจำนวนอันแน่นอน เทวทูตท่านอื่นๆจะเกรงกลัวเทวทูตแห่งความตาย มากกว่าที่คนหนึ่งคนใดในพวกท่านหวาดกลัวเสือร้ายเสียอีก”
คำอธิบายนี้เป็นเพียงบางส่วนของความน่าสะพรึงกลัวของเทวทูตแห่งความตาย ใครก็ตามที่เห็น ความหวาดกลัวจะเข้าไปสู่จิตใจของผู้นั้นทันที ลักษณะของเทวทูตแห่งความตายนั้น ไม่สามารถที่จะอธิบายได้อย่างชัดเจน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นบทสรุปจากตัวบทฮะดีสหลายๆบทด้วยกัน ซึ่งเป็นความจริงที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
สภาพผู้ที่วิญญาณจะออกจากร่าง
ความตายจะมาพร้อมกับความเจ็บปวด มึนงง และทุกข์ทรมานแก่ทุกคนที่ก้าวสู่ประตูแห่งความตาย พระคัมภีร์ ระบุว่า
"และอาการมึนงงแห่งความตายได้ปรากฏขึ้นอย่างประจักษ์แจ้ง และนั่นคือสิ่งที่เจ้าจะหลีกเลี่ยงจากมันไปไม่ได้ "
( ก็อฟ 50 / 19 )
ท่านอิหม่าม อิบนุกะซีร-ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ- กล่าวว่า :
“ เมื่อเทวทูตแห่งความตายบอกเขาถึงการทรมาน และความโกรธกริ้วของอัลลอฮ ที่มีต่อเขาแล้ว เทวทูตก็จะกระชากวิญญาณออกจากร่าง แต่เขาจะขัดขืนไม่ยอมออกจากร่าง เทวทูตแห่งความตายก็จะกระหน่ำตีร่างผู้นั้น จนกระทั่งวิญญาณยอมออกจากร่าง ”
พร้อมกับกล่าวดำรัสของพระองค์ที่ว่า
"จงให้ชีวิตของพวกเจ้าออกมา วันนี้พวกเจ้าจะได้รับการตอบแทน ซึ่งโทษแห่งความต่ำต้อย
เนื่องจากที่พวกเจ้ากล่าวให้ร้ายแก่อัลลอฮโดยปราศจากความจริง "
( อัล-อันอาม 6 / 93 )
ท่านอิหม่าม อิบนุกะซีร กล่าวต่ออีกว่า :
"หลังจากที่วิญญาณออกจากร่างแล้ว ผู้ตายจะอยู่ในโลกหลังความตาย จนถึงวันฟื้นคืนชีพ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งเร้นลับ ที่มุสลิมจำเป็นต้องศรัทธาว่า สิ่งที่มีระบุไว้ในพระคัมภีร์และในวจนะของท่านศาสดา นั้นเป็นความจริง ถ้าผู้ใดปฏิเสธเรื่องดังกล่าวว่าไม่จริงแล้ว ก็ถือว่าเขาได้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง "
โลกหลังความตาย ( อาลัม บัรซัค )
ความหมายทางภาษา “ บัรซัค ” เป็นภาษาอาหรับ หมายถึง สิ่งกีดกั้น ( a barrier )หรือ ที่จำแนกระหว่างสิ่งสองสิ่ง
ความหมายทางศาสนา
- ช่วงเวลาอันเป็นที่พำนักของผู้ตายในหลุมฝังศพ ก่อนการฟื้นคืนชีพ
- เวลาคั่นกลางระหว่างโลกแห่งผัสสะทั้งสอง คือโลกนี้และโลกหน้า
และถือได้ว่าตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ยังเป็นที่พำนักแห่งการตอบแทนอันผาสุกหรือการลงทัณฑ์อันเจ็บปวดทรมานที่ถาวรอีกด้วย พระคัมถีร์ระบุถึง บัรซัคว่า
"จนเมื่อความตายได้มาถึงใครคนหนึ่งของพวกเขา เขาได้กล่าวว่า โอ้ พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์
ได้โปรดให้ข้าพระองค์กลับไปมีชีวิตอีกครั้งหนึ่งเถิด เพื่อว่าข้าพระองค์จะได้ทำความดี ในสิ่งที่ข้าพระองค์ได้ละทิ้งไว้
เปล่าเลย มันเป็นเพียงถ้อยคำที่เขากล่าวมันไว้เท่านั้น
และเบื้องหลังพวกเขายังมีบัรซัคขวางกั้น อยู่จนถึงวันที่พวกเขาจะถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมา"
( อัล-มุอฺมินูน 23/ 99-100 )
การที่พระคัมภีร์ ได้อรรถาธิบายเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตหลังความตายไว้นั้น เป็นสิ่งที่สำนึกแห่งคุณธรรมของมนุษย์ต้องการ โดยแท้จริงแล้วในเรื่องชีวิตหลังความตายนั้น มีความสัมพันธ์กับการศรัทธาในพระเจ้า หรืออีกนัยหนึ่ง ถ้าเลือกศรัทธาเฉพาะเรื่องเดียว คือศรัทธาในพระเจ้า ก็ย่อมไม่เป็นการเพียงพอ
การศรัทธาในชีวิตหลังความตาย ไม่เพียงแต่เป็นการประกันความสำเร็จแก่ชีวิตในโลกหน้าเท่านั้น แต่ยังทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความสงบสุข ด้วยการทำให้มนุษย์รู้จักตระหนักในหน้าที่ และรับผิดชอบอย่างเต็มที่
จากประวัติศาสตร์ในอดีต เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า ชาวอาหรับในยุคสมัยที่ยังไม่ยอมเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตาย จะเห็นได้ว่าวิถีชีวิตหลักๆของพวกเขาดำรงอยู่บนการพนัน สุรายาเมา การสู้รบระหว่างเผ่าพันธุ์ การปล้นสดมภ์ คดโกง และฆาตกรรม แต่เมื่อเขาเหล่านั้นยอมรับศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว และเรื่องชีวิตหลังความตายแล้ว พวกเขากลับกลายเป็นประชาชาติที่มีระเบียบวินัยที่สุดในโลก ทิ้งความชั่วร้ายเลวทราม มีการช่วยเหลือกันและกันในยามแห่งความต้องการ ยุติการโต้เถียงด้วยกับความยุติธรรม และความเสมอภาคกัน
ดังนั้น จึงอาจประมวลถึงเหตุผลที่ทำให้สมควรเชื่อในเรื่องการศรัทธาเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายไว้ดังนี้คือ
1. บรรดาศาสนทูตทุกท่าน ล้วนเรียกร้องเชิญชวนประชาชาติของท่านให้ศรัทธาในเรื่องนี้
2. คราใดที่สังคมมนุษย์ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการศรัทธานี้ ย่อมจะก่อให้สังคมนั้น เป็นสังคมในอุดมคติที่มีแต่ความสงบสุขที่สุด ปลอดจากความชั่วร้ายทางสังคมและจิตใจ
3. ประจักษ์พยานในประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า คราใดที่กลุ่มชนตั้งป้อมปฏิเสธศรัทธาในข้อนี้ แทนที่จะน้อมรับคำตักเตือนของศาสนทูตที่ได้ประกาศครั้งแล้วครั้งเล่า ครานั้นบรรดาชนกลุ่มนั้นทั้งหมด จะต้องถูกลงทัณฑ์จากพระผู้เป็นเจ้า
4. คุณธรรม ความงาม และความมีเหตุมีผลของมนุษย์ได้เห็นสอดคล้องกันกับความเป็นไปได้ในเรื่องของชีวิตหลังความตาย
5. คุณลักษณะอันทรงเกียรติของพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับความยุติธรรม และปรานีเสมอ ย่อมมีความหมายต่อเรื่องของชีวิตหลังความตาย
การตอบแทนในหลุมฝังศพ
การศรัทธาว่ามีการตอบแทนและการลงโทษในหลุมฝังศพนั้นเป็นความจริง ถือเป็นหนึ่งในหลักการศรัทธาที่มุสลิมทุกคนจำเป็นต้องเชื่อมั่น เพราะทั้งในพระคัมภีร์และในวจนะของท่านศาสดาได้ระบุยืนยันเอาไว้อย่างชัดเจน มุสลิมเชื่อมั่นว่า ภายหลังจากแผ่นดินกลบใบหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ร่างกายจะไม่ไหวติง แต่วิญญาณของเขาจะยังคงรู้สึกและมีชีวิตเป็นนิรันดร์ ก้าวแรกที่เข้าสู่โลกแห่งใหม่ ที่เรียกว่าโลกแห่งหลุมฝังศพ หรือโลกแห่งวิญญาณ เขาจะดำเนินตามกฎระเบียบโลกแห่งนี้ ด้วยการได้รับผลกรรมตามที่ได้ประกอบไว้ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต
ฉะนั้น ชีวิตในหลุมฝังศพ ซึ่ง ณ ที่นี้ย่อมรวมถึง ผู้ตายในทุกสภาพ ไม่ว่าจะถูกเผาหรือถูกสัตว์ร้ายเขมือบจนกลายเป็นผุยผง ล้วนแล้วแต่ก้าวเท้าเข้าสู่โลกหลังความตายอย่างพร้อมเพรียงและได้รับการตอบแทนตามผลกรรมอย่างครบถ้วนเช่นกัน
ท่านศาสดา กล่าวว่า
“ หลุมฝังศพนั้น คือบ้านหลังแรกของบ้านทั้งหลายในโลกหน้า
ใครก็ตามที่ปลอดภัยในบ้านหลังนั้น สิ่งที่ตามมาภายหลังย่อมง่ายดายสะดวกสบายยิ่งกว่า และ
ใครที่ไม่ปลอดภัยในบ้านหลังนั้น สิ่งที่ตามมาภายหลังย่อมรุนแรงยิ่งกว่านัก”
( บันทึกโดย อิหม่าม ติรมีซียฺและ อิบนุมาญะฮฺ)
หลุมฝังศพจึงเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งจากสรวงสวรรค์ หรือเป็นส่วนหนึ่งจากขุมแห่งเปลวเพลิงได้ในเวลาเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่า เจ้าของบ้านหลังนั้นเป็นคนเช่นไร!!
ในหลุมฝังศพ
ชีวิตในบ้านหลังใหม่ เริ่มต้นจากวินาทีแรกที่วิญญาณถูกนำออกจากร่าง ผู้ตายจะยังคงรู้สึก ยังคงมองเห็น และยังคงได้ยิน ความเปลี่ยนแปลงรอบกายของเขา การรับรู้ทุกอย่างยังคงเดิม ต่างแค่เพียงไม่มีใครจะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงและความเป็นไปของเขาได้อีก
วจนะท่านศาสดา ระบุว่า
“ แท้จริง บ่าวนั้น เมื่อเขาถูกวางลงในหลุมฝังศพของเขา และบรรดามิตรสหายได้ให้หลังจากเขาไป เขาจะได้ยินเสียงกระทบของรองเท้าของพวกเขา แล้วจะมีเทวฑูตสองท่านมาหาเขา ให้เขาลุกขึ้นนั่ง
เทวทูตทั้งสองจะกล่าวว่า ท่านกล่าวเช่นไรถึงคนคนนี้ มุฮัมหมัด ?
ผู้มีศรัทธาก็จะตอบว่า ฉันขอปฏิญาณว่า เขาเป็นบ่าว และทูตของอัลลอฮ
เทวทูตจะกล่าวกับเขาว่า : จงมองดูที่พำนักของท่านในสรวงสวรรค์เถิด แล้ว เขาได้เห็นมันทั้งหมด”
( บันทึกโดย อิหม่าม บุคอรีและมุสลิม )
ศาสดา กล่าวว่า
“ หลุมฝังศพ เปรียบได้กับส่วนหนึ่งของกลางคืนที่มืดสนิท หากท่านทั้งหลายรู้ดังที่ฉันรู้
ท่านทั้งหลายจะร้องไห้อย่างมาก และจะหัวเราะแต่น้อย
ท่านทั้งหลาย จงขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ ให้พ้นจากการลงทัณฑ์ในหลุมฝังศพ
แท้จริง การลงทัณฑ์ในหลุมฝังศพนั้น เป็นความจริง"
( บันทึกโดย อิหม่าม อะฮฺหมัด )
หลุมฝังศพ... عالم البرزخ 1 >>> Click
หลุมฝังศพ... عالم البرزخ การลงโทษ >>> Click