การแสดงละครไม่ได้ปรากฏในวิธีการดะวะห์ของท่านนบี
  จำนวนคนเข้าชม  9556

การแสดงละครไม่ได้ปรากฏในวิธีการดะวะห์ของท่านนบี


โดย ...อับดุลบารีย์ นาปาเลน


การแสดงละครถือเป็นสิ่งต้องห้ามนั้นมีหลายประการดังนี้...

ประการที่หนึ่ง

          การแสดงละครไม่ได้ปรากฏในวิธีการดะวะห์ของท่านนบี และซอฮาบะ และรุ่นสลัฟเรื่อยมา รวมทั้งบรรดาอีหม่ามทั้งสี่ แต่เพิ่งมีในยุคใหม่นี้ หลังจากที่โลกอาหรับได้ถูกรุมกินโต๊ะโดยชาติตะวันตกที่เป็นยิวและคริสต์ พร้อมกับความโง่หรือไม่รู้ในเรื่องของศาสนาได้เริ่มปรากฏในประชาชาติอิสลาม ซึ่งถือว่าเป็นโรคที่อันตรายร้ายแรง จึงมีความคิดที่จะมีการเลียนแบบวัฒนธรรมจากศาสนาอื่นมาใช้ในศาสนาอิสลาม ทั้งที่ศาสนาได้ห้ามไว้ในการที่จะไปเลียนแบบศาสนาอื่น

“ และพวกเขา(ผู้ศรัทธา)จงอย่าได้เป็นเช่นบรรดาผู้ที่เคยถูกประทานคัมภีร์ให้เมื่อยุคก่อนๆ

 แล้วเมื่อกาลเวลาได้ผ่านพวกเขาไปอย่างยาวนาน หัวใจของพวกเขาก็แข็งกระด้าง"

(อัลหะดีด : 16)

   ท่านอิบนูกซีร ได้กล่าวว่า “ และด้วยเหตุนี้ที่พระองค์ได้ห้ามผู้ศรัทธามิให้เลียนแบบเหมือนกับพวกเขาแต่อย่างใด ทั้งในเรื่องหลักๆและเรื่องปลีกย่อย"

         “.. แล้วพวกเจ้าก็ได้หาความสำราญในสิ่งที่เป็นส่วนได้ของพวกเจ้า เช่นเดียวกับบรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเจ้า ได้หาความสำราญในสิ่งที่เป็นส่วนได้ของพวกเขามาแล้ว และพวกเจ้าก็พูดคุยกันในสิ่งไร้สาระ เช่นเดียวกับที่พวกเขาพูดคุยกัน ชนเหล่านี้แหละ บรรดาการงานของพวกเขาไร้ผลทั้งโลกนี้และปรโลก และชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ขาดทุน “

 และพระองค์ ตรัสความว่า

“ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงอย่าได้ยึดเอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นมิตร บางส่วนของพวกเขาคือมิตรของอีกบางส่วน

และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเอาพวกเขามาเป็นมิตรแล้วไซร้ แน่นอนผู้นั้นก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์ นั้นไม่ทรงชี้นำทางกลุ่มชนที่อธรรม”

(อัลมาอิดะฮฺ: 51)


         การห้ามมิให้ไปเลียนแบบศาสนาอื่น เช่น ในเรื่องของการอาซาน ในการเรียกร้องผู้คนมาปฏิบัติศาสนกิจ ซึ่งก่อนหน้าก็มีบางคนแนะนำท่านนบี  ให้ใช้ระฆัง แต่ท่านก็ปฏิเสธ เพราะไปเหมือนกับพวกคริสต์ และท่านนบี ห้ามการละหมาดในขณะที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและลง เพื่อไม่ให้ไปเหมือนพวกที่กราบใหว้ดวงอาทิตย์  ส่วนการถือศิลอดวันอาชูรอ ท่านนบี  ได้กล่าวว่า หากฉันมีชีวิตถึงปีหน้าอีก แน่นอนฉันก็จะถือบวชวันที่เก้า เพื่อให้แตกต่างจากพวกยิว

      ในทำนองเดียวกันท่านนบี  ก็ได้สั่งให้ผู้ศรัทธาไว้เคราและเล็มหนวดเพื่อให้เกิดความแตกต่างจากศาสนาอื่น และท่านก็สั่งให้แตกต่างจากยิวและคริสต์ จงแตกต่ากจากพวกมะยูส(ที่บูชาไฟ) และผู้ที่ตั้งภาคี  มากไปกว่านั้นท่านนบี  ยังห้ามบรรดาผู้ศรัทธาไม่ให้ไปอยู่ในสถานที่ของผู้ปฏิเสธศรัทธาที่โดนลงโทษมาก่อน เพราะกลัวจะถูกสาปแช่งหรือโดนลงโทษ ดังที่พวกเขาเคยโดนมา

   ท่านเชคคุลอิสลาม อิบนูตัยมียะห์ได้กล่าวว่า

          “ และถ้าหากหลักการศาสนาของเราได้ห้ามผู้ศรัทธามิให้ไปร่วมสถานที่ของพวกกาเฟร ที่เคยโดนลงโทษ แล้วเทียบอะไรกับการไปร่วมกับพวกเขา ที่เกี่ยวกับการกระทำของพวกเขาที่พวกเขาได้กระทำกัน ”

 (หนังสือ อิกฏีดออฺ อัศศีรอฏอลมุสตากีม ลีมูคอลาฟะห์อัสฮาบุลญาฮีม หน้าที่ ๒๖๗)


          การแสดงละครเดิมทีเป็นการแสดงละครในเชิงศาสนาของพวกยูนาน เป็นละครเวที ที่พวกเขาแสดงเกี่ยวกับเรื่องราวศาสนาของพวกเขา และก็ได้รับอิทธิพลนี้โดยยิวและคริสต์ สุดท้ายการแสดงละคร ก็กลายมาเป็นประเพณีของพวกเขา และเมื่ออิสลามได้ปรากฏ โดยท่านนบี  มาประกาศ ชาวซลัฟก็ไม่ได้ไปเลียนแบบและเอามาใช้ในศาสนาอิสลามแต่อย่างใด  เพราะรู้ๆกันว่าเป็นประเพณีของพวกที่ปฏิเสธศรัทธา และเป็นการอิบาดะห์ของพวกเขา

มีโองการมากมายที่พระองค์อัลลอฮได้ห้ามไปเลียนแบบสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาอื่น พระองค์ ตรัสความว่า

 “  พวกเจ้าจงปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเจ้าจากพระเจ้าของพวกเจ้าเถิด

และอย่าปฏิบัติตามบรรดาผู้คุ้มครองอื่นจากพระองค์  ส่วนน้อยจากพวกเจ้าเท่านั้นที่จะรำลึก”

(สูเราะฮฺอัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ ๓)

และพรงองค์ ตรัสความว่า

 “แล้วเราได้ตั้งเจ้าให้อยู่บนแนวทางหนึ่ง ในเรื่องของศาสนาที่แท้จริง

ดังนั้นจงปฏิบัติตามแนวทางนั้น(หลักการของอัลลอฮฺ) และอย่าได้ปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของบรรดาผู้ไม่รู้”

(อัลญาษิยะฮฺ :18)


การที่เราไปตามอารมณ์ของพวกเขาจะนำพาไปสู่การตามสิ่งอื่นๆด้วย

“เปรียบดังเช่นผู้ที่เลี้ยงสัตว์ที่ได้เลี้ยงใกล้ เขตต้องห้าม ที่มันเกือบล้ำเข้าไปในเขตของผู้อื่น 

จงทราบเถิดว่าทุกๆกษัตริย์นั้นมีเขตหวงห้าม และเขตหวงห้ามของอัลลอฮฺนั้นคือ ทุกอย่างที่พระองค์ไม่อนุมัติ “

(รายงานโดยบุคคอรีและมุสลิม)

          และนี่แค่ “ อารมณ์ใฝ่ต่ำ” พระองค์ก็ได้ห้ามไม่ให้ไปตาม แล้วสิ่งที่ใหญ่ไปกว่านั้นจะไม่หนักไปอีกหรือ ?   จึงไม่แปลกที่พวกกาเฟรเขาดีใจ หากได้เห็นชาวมุสลิมได้ทำอะไรที่เลียนแบบตามพวกเขา  และนี่แหละคือสิ่งที่พวกเขาพยายามนักพยายามหนา

และพระองค์ ตรัสความว่า

 “และชาวยิวและชาวคริสต์นั้น จะไม่ยินดีแก่เจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา

จงกล่าวเถิด แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮฺเท่านั้นคือทางนำที่แท้จริง แน่นอน ถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มาแล้ว

ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใดๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้”


          ท่านนบี ได้ห้ามมิให้ผู้ศรัทธาไปเลียนแบบตามพวกกาเฟรในทุกเรื่อง เช่น ในการแต่งกาย ท่านก็เคยห้ามชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อเหมือนคนกาเฟร ท่านได้กล่าวว่า

“ แท้จริงเสื้อนี้เป็นเสื้อของพวกกาเฟรเขาใส่กัน ดังนั้นเจ้าจงอย่าใส่มันเลย “

(รายงานโดยอะหมัด และฮาเกม และบัยฮากี และฮาดีษนี้ถูกต้องตามเงื่อนไขของบุคคอรีและมุสลิม.)


         ท่านนบี  เคยห้ามผู้ศรัทธามิให้ไปใช้สิ่งของที่พวกกาเฟรเขาใช้กัน เช่น ผ้าไหมสำหรับผู้ชาย ภาชนะที่ทำมาจากเงินและทอง และท่านก็กล่าวว่า

“แท้จริงสิ่งเหล่านี้เป็นของพวกกาเฟรในโลกนี้ และมันจะเป็นของพวกเราในโลกหน้า”

(รายงานโดยบุคอรีย์)

       หลังจากนั้นมารดาของศรัทธาชน ท่านหญิงอาอีชะห์ (รอดียัลลอฮูอันฮา) นางได้ถูกอบรมจากบ้านของท่านนบี  และเกลียดที่จะไปเลียนแบบพวกกาเฟร ถึงขั้นที่นางนั้นไม่อยากเอามือมาเท้าสะเอว โดยมีรายงานว่า

" كَانَتْ تَكْرَهُ أَنْ يَجْعَلَ يَدَهُ فِي خَاصِرَتِهِ وَتَقُولُ: إِنَّ اليَهُودَ تَفْعَلُهُ "

“นางนั้นไม่ชอบที่จะเอามือมาเท้าสะเอว และนางกล่าวว่า เพราะแท้จริงพวกยิวชอบทำกันอย่างนั้น”

(รายงานโดยบุคคอรีและมุสลิม)


          จากท่านญาบิรฺ บินอับดิลลาฮฺ กล่าวว่า มีครั้งหนึ่ง ท่านอูมัร บิน อัลคอตต็อบ รอดียัลลอฮอันฮู ได้มาหาท่านนบี  (ด้วยกับความดีใจ) พร้อมด้วยหนังสือเล่มหนึ่ง ที่เขาได้มาจากชาวคำภีร์บางคน และได้อ่านให้ท่านนบี  ฟัง(เผื่อว่ามีบางอย่างมายืนยันถึงความจริงของอิสลาม) แล้วท่านนบี  ก็โกรธ พร้อมกับกล่าวว่า 

          ท่านจะมีความลังเลใจในนั้นอีกหรือ โอ้บุตรของอัลคอตต็อบ? (คือไม่อนุญาติให้อ่านเพราะกลัวว่าจะเอาความเท็จมาผสมกับอิสลาม) ข้าขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตฉันอยู่ด้วยมือของพระองค์ แท้จริง สิ่งที่ฉันได้นำมาให้แก่พวกท่านนั้นคือความขาวใส พวกท่านอย่าได้ถามสิงใดๆจากพวกเขา หากพวกเขาบอกพวกเจ้าในสิ่งที่ถูกต้อง พวกเจ้าก็ไม่เชื่อพวกเขา และหากมันเป็นสิ่งที่เท็จ แล้วพวกเจ้าก็เชื่อมัน ข้าขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตฉันอยู่ด้วยมือของพระองค์  หากท่านนบีมูซายังมีชีวิตอยู่แล้วไซร้ เขาก็ต้องตามฉัน ”

(รายงานโดย อะหมัด )


    เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่เราจะบอกว่าการแสดงละครนั้นเป็นสิ่งที่ฮารอม  การเลียนแบบยิวและคริสต์นั้นได้มีปรากฏในประชาติอิสลามแล้ว และตรงตามที่ท่าน นบี  ได้แจ้งไว้ ก่อนที่ท่านจะจากไป

รายงานจากอบีซะอีด อัลคุดรีย์กล่าวว่า ท่านรซูลุลลอฮ  กล่าวว่า

“พวกท่านจะเดินตามสุนนะฮ(แนวทาง)คนยุคก่อนพวกท่าน ทีละคืบ ทีละศอก หากแม้นพวกนั้นจะเดินเข้าไปในรูแย้ พวกท่านก็จะเดินตามเข้าไป

สาวกก็ถามท่านว่า: พวกเหล่านั้นคือชาวยิวและชาวคริสต์ใช่ไหม?

ท่านก็ตอบ: แล้วจะเป็นใครอีกล่ะ นอกเหนือพวกนั้น “

     ( อัลบุคอรี กิตาบุลเอียะติศอม)


      ในทำนองเดียวกัน ท่านนบี ได้บอกถึงสัญญานวันสิ้นโลก ที่ผู้คนจะอนุมัติจากสิ่งที่เป็นข้อห้าม(ฮารอม) ให้กลายเป็นสิ่งที่ฮาลาล(อนุญาติ) และมันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว

“ จะปรากฏในประชาชาติของฉัน ผู้ที่ทำการอนุมัติการซินา(การประเวณี) การสวมใส่ผ้าไหม การดื่มสุรา และการเล่นเครื่องดนตรี..”

       และสิ่งดังกล่าวจะเกิดขึ้นยากหากปราศจากผู้นำที่หลงผิด ดั่งที่ท่านนบี ได้บอกเอาไว้

 “ แท้จริงสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งที่ข้าพเจ้ากลัวจะเกิดขึ้นแก่ประชาชาติของข้าพเจ้าคือ บรรดาผู้นำที่หลงผิด ..”

(รายงานโดย อาบูดาวูด และติรมีซี และอีม่ามอะห์หมัด )

 


 อ่านต่อ .....>>>> C l i c k