อิสลาม กับ ประชาคมอาเซียน... (2)
นิพล แสงศรี
การจัดตั้งกลุ่มบุคคลและหน่วยงาน องค์กร บริษัท และอื่นๆ ตลอดจนการทำงานเป็น Team Works เป็นสิ่งที่อิสลามได้เรียกร้องบรรดามุสลิมให้ความสำคัญมาตลอด เพื่อบริหารจัดการ แบ่งเบาภาระ และกระจายความรับผิดชอบงาน ทั้งที่เกี่ยวกับกิจกรรมด้านศาสนา สังคม การปกครอง การศึกษา และอื่นๆ โดยเฉพาะองค์กรขับเคลื่อนทางระบบเศรษฐกิจอิสลาม และถือเป็นโครงสร้างเชิงสถาบันสำคัญที่จะสานฝันให้เป็นจริงขึ้นมา ตามที่วัตถุประสงค์ของความมั่นคงทางสังคมอิสลาม
ยุคญาฮิลียะฮฺชาวเยเมนได้ขายสินค้าให้แก่ท่าน อาชฺ บุตร วาเอล ด้วยการตั้งราคาสินค้าที่สูงกว่าท้องตลาด อิบนุอิสฮาก เล่าว่า คนกลุ่มหนึ่งจากเผ่าญุรฮัมและเผ่าเกาะกูรออฺจึงรวมตัวกัน เพื่อทำสัญญาระหว่างกันว่า พวกเขาจะช่วยกันต่อต้านความอธรรมในนครมักกะฮฺ พวกเขาเชื่อว่า ไม่เป็นการสมควรที่จะเกิดอธรรมในนครมักกะฮฺยกเว้นสิ่งดังกล่าวเป็นสิ่งที่พระเจ้าจะทรงยกย่องตามสิทธิของมัน โดยข้อตกลงในครั้งนี้ถูกเรียกว่า สัญญาสหพันธ์ฟุดูล
สาเหตุที่เรียกว่า สัญญาสหพันธ์ฟุดูล เพราะพวกเขาสัญญาที่จะมอบเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และสิทธิต่างๆกลับคืนสู่เจ้าของและไม่สร้างอธรรมระหว่างกัน โดยนบีมุฮัมมัด ได้มีส่วนร่วมในการจัดระเบียบสังคมในนครมักกะฮฺให้ปราศจากการอธรรมทุกรูปแบบ หลังได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสนทูตแห่งอัลลลอฮฺ ท่านกล่าวว่า “หากฉันถูกเชิญกลับเข้าไปเข้าร่วมอีกจะตอบรับคำเชิญแน่นอน”
ช่วง 10 ปีแรกในนครมักกะฮฺ ท่านเน้นไปทางการเผยแผ่ศาสนาอิสลามและเกี่ยวกับการศรัทธาเชื่อมั่นเป็นหลัก ดังนั้นการทำงานของท่านในระยะแรกจึงเป็นการทำงานเพียงลำพังและเน้นไปยังรายบุคคล แต่หลังอพยพสู่นครมะดีนะฮฺท่านจึงให้ความสำคัญกับโครงสร้างชิงสถาบันและส่งเสริมการทำงานเป็นกลุ่มหรือเป็นทีม โดยริเริ่มจัดตั้งกลุ่มและองค์กรเข้ามาทำงานสนับสนุนการทำงาน ทั้งด้านศาสนา สังคม การเมือง และการทหาร โดยเฉพาะกิจกรรมด้านเศรษฐกิจ เพื่อประสิทธิภาพในการฟื้นฟูและพัฒนาสังคมทุกระดับ
สถาบันแรกที่นบีมุฮัมมัด สร้างหลังอพยพมายังนครมะดีนะฮฺคือ มัสญิดกุบาอฺ เพื่อเป็นจุดศูนย์รวมของพี่น้องมุสลิมในการแสดงความจงรักภักดีต่ออัลลอฮฺผู้เป็นเจ้า และเป็นสถานดำเนินกิจกรรมด้านอื่นๆที่เป็นประโยชน์มุสลิม ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอน ปรึกษาหากันในกิจการงานต่างๆ ต่อมาเมื่อท่านเห็นว่า ระบบเศรษฐกิจ ณ นครมะดีนะฮฺตกอยู่ภายใต้อิทธิพลยิว และตลาดใหญ่ของบะนีก็อยนุกออฺ และเกี่ยวข้องกับระบบดอกเบี้ยทุกชนิด ประกอบกับมุสลิมเริ่มมีควมเข้มแข็งขึ้น ท่านจึงก่อตั้งตลาดที่ดำเนินงานโดยมุสลิมขึ้นที่นครมะดีนะฮฺ ดังรายงานระบุ ความว่า
แท้จริงศาสนทูตของอัลลอฮฺ ได้เดินไปยังตลาดอันนะบีฎ และท่านก็มองพินิจพิจารณาตลาด
และท่านกล่าวว่า ตลาดสำหรับพวกท่านไม่ใช่แบบนี้
ต่อมาท่านเดินไปยังตลาดหนึ่ง และท่านก็มองพินิจพิจารณาตลาด
และท่านกล่าวว่า ตลาดสำหรับพวกท่านไม่ใช่แบบนี้
ต่อมาท่านเดินกลับไปยังนี้ (ตลาดที่ท่านสร้างขึ้น) และท่านเดินวนเวียนในตลาด
และกล่าวว่า นี้คือตลาดของพวกท่าน ดังนั้นอย่าได้ทำให้มันขาดตกบกพร่อง และอย่าเรียกเก็บภาษีระหว่างกัน
(บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ : 2233)
เช่นเดียวกับ บัยตุลมาล ถือเป็นสถาบันด้านเศรษฐกิจแรกที่นบีมุฮัมมัด ก่อตั้งขึ้นมาหลังการอพยพและหลังได้รับบทบัญญัติเกี่ยวซะกาตฺและเศาะดาเกาะฮฺ เพื่อช่วยเหลือสังคม เสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ประชาชน และยังเป็นสถาบันที่มีความสำคัญต่อการปกครองของมุสลิมมากที่สุดในยุคนั้น โดยมีสายรายงานอีกมากมายที่บ่งชี้อย่างสอดคล้องกันว่า ผู้รับผิดชอบดูแลบัยตุลมาลยุคของท่านคือ อะบู อุบัยดัยดะฮฺ บุตร อัลญัรรอฮฺ จนท่านได้ขนานนามเขาว่า อัลอะมีน แห่งประชาชาติ
แม้อิสลามจะอนุญาตให้ร่วมมือกันได้ แต่ภาพรวมของความร่วมมือทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมจะต้องอยู่บนพื้นฐาน ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยอันตรายต่อตนเองและก่อความเดือดร้อนแก่บุคคลอื่น นบีมุฮัมมัด กล่าวว่า
((لا ضرر ولا ضرار)) (رواه ابن ماجه : 2341)
“ ไม่เป็นภัยหรืออันตราย (ต่อตนเอง) และไม่ก่อให้เกิดอันตราย (ต่อบุคคลอื่น)”
(รายงานโดยอิบนุมาญะฮฺ : 2341)
หรือไม่ขัดกับหลักคุณธรรม จริยธรรม การสร้างความดี และสร้างศัตรูระหว่างกัน ทั้งในรูปการกระทำด้วยตนเองหรือสนับสนุนให้คนอื่นกระทำ อัลกุรอานระบุว่า
﴿وَتَعَاوَنُوا عَلَى الْبِرِّ وَالتَّقْوَى وَلَا تَعَاوَنُوا عَلَى الْإِثْمِ وَالْعُدْوَانِ﴾ (المائدة : 2)
“และพวกท่านจงช่วยเหลือกันบนการเป็นคุณธรรมและความยำเกรงต่อพระเจ้า และพวกท่านอย่าช่วยเหลือกันบนสิ่งที่เป็นบาปและเป็นศัตรูกัน”
(อัลมาอิดะฮฺ : 2)
หรือจะต้องวางอยู่บนหลักที่ว่าด้วยการส่งเสริมในกระทำสิ่งที่ดีงาม มีประโยชน์ต่อสังคม เช่นเดียวกับให้การหยุดหยั้งในสิ่งที่เป็นชั่ว หรือเป็นภัยคุกคามต่อตนเองและสังคมส่วนรวม อัลกุรอานระบุว่า
﴿وَلْتَكُنْ مِنْكُمْ أُمَّةٌ يَدْعُونَ إِلَى الْخَيْرِ وَيَأْمُرُونَ بِالْمَعْرُوفِ وَيَنْهَوْنَ عَنِ الْمُنْكَرِ وَأُولَئِكَ هُمُ الْمُفْلِحُونَ﴾ (ال عمران : 104)
“และพวกเจ้าจงทำให้มีขึ้นจากหมู่พวกเจ้าคณะหนึ่งที่จะเชิญชวนไปสู่ความดีและใช้ให้กระทำในสิ่งที่ชอบและห้ามมิให้กระทำในสิ่งที่มิชอบ
และชนเหล่านี้คือบรรดาผู้ที่ได้รับความสำเร็จ”
(อาลิอิมรอน : 104)
การสร้างสันติภาพ การสร้างความปลอดภัยให้เกิดขึ้นแก่ชีวิตและทรัพย์สิน การสร้างค่านิยมว่าด้วยการไม่ใช้กำลังแก้ไขปัญหาด้วยอาวุธและนิวเคลียร์ หรือการเสริมสร้างขีดความสามารถในการเผชิญกับภัยคุกคามความมั่นคงในรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่ หรือการสร้างความหวังใหม่ เพื่อสมาชิกทุกคนจะได้มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและสร้างสรรค์ระหว่างกัน สิ่งเหล่านี้คือความมั่นคงที่อิสลามส่งเสริมให้เกิดขึ้นระหว่างมนุษยชาติเช่นกัน ทั้งในมิติการให้ความร่วมมือกับมุสลิม หรือในมิติการให้ความร่วมมือกับคนต่างศาสนิก ภายใต้เงื่อนไข รูปแบบ และวิธีการเฉพาะตัวหรือกฎหมายชะรีอะฮฺ
โดยเฉพาะประชากรอาเซียนมีจำนวนเกือบ 600 กว่าล้านคนมีทั้ง อิสลาม พุทธ ฮินดู และ คริสต์เตียน โดยเกือบ 300 กว่าล้านคนเป็นมุสลิม ดังนั้นมุสลิมจึงควรทำความรู้จักประชาคมอาเซียนให้ดี เช่นเดียวกับการทำความรู้มุมมองมุสลิมที่มีต่อประชาคมอาเซียน ตลอดจนศึกษาเส้นทางไทยและมุสลิมไทยสู่ประชาคมอาเซียน
อ้างอิง
1. http://sameaf.mfa.go.th/th/organization/detail.php?ID=203
2. al-Buti, Muhammad S. Ramadan. 1978. Figh al-Sirah al-Nabawiyah. (Lebanon : Dar al-Fikr), หน้า 153.
3. Ibn al-Athir. 1989. al-Kamil Fi al-Tarikh. (Lebanon : Dar Ahya al-Turath), หน้า 473 (เล่ม 1).
4. al-Qaradawi, Yusuf. 1977. al-Halal Wa al-Haram Fi al-Islam. (al-Qahirah : Maktabah ), หน้า 116.
5.Alam al-Din, Mustafa. 1992. al-Mujtama al-Islami. (Lebanon : Dar al-Nahdhah al-Arabia), หน้า 36 และ หน้า 143.