โดยไม่ชอบธรรมนั้น ถือว่าเป็นที่ต้องห้าม (ฮะรอม) |
ตระกูลอันทรงเกียรติที่สุดคือ ตระกูลแห่งนบีของพวกเรา คือ ท่านนบีมุฮัมมัด ความสัมพันธ์ทางเชื้อสายกับท่านนบี และความสัมพันธ์กับวงศ์วานของท่าน ถือเป็นเกียรติอันสูงส่งหากความสัมพันธ์ทางเชื้อสายนั้นเป็นจริง แต่การอ้างอิงถึงตระกูลอันทรงเกียรตินี้ จะมีอยู่เป็นจำนวนมากในหมู่คนอาหรับ และคนที่ไม่ใช่อาหรับ
ดังนั้น ผู้ใดที่มาจากวงศ์วานนี้จริง และเขาเป็นผู้มีอีมานศรัทธาต่ออัลลอฮฺ แท้จริง อัลลอฮฺได้ทรงรวบรวมทั้งเกียรติของการอีมานศรัทธา และเกียรติของวงศ์ตระกูลเอาไว้ในตัวของเขาผู้นั้น และถ้าผู้ใดกล่าวอ้างว่ามาจากวงศ์ตระกูลอันทรงเกียรติ ทั้งๆที่เขาไม่ใช่เชื้อสายที่มาจากวงศ์ตระกูลที่อ้าง แน่นอน เขาได้กระทำสิ่งที่ต้องห้าม (ฮะรอม) เสมือนกับผู้ที่รับประทานสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้อนุญาต (ให้รับประทาน) จนเต็มอิ่ม และ ท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮา ได้กล่าวว่า แท้จริง ท่านนบี ได้กล่าวว่า :
(( الْمُتَشَبِّعُ بِمَا لَمْ يُعْطَ كَلَابِسِ ثَوْبَى زُورٍ )) |
ผู้ที่รับประทานสิ่งที่เจ้าของไม่อนุญาตให้รับประทานจนอิ่ม เสมือนกับผู้ที่ใส่เสื้อผ้าของคนอื่นที่ไม่ใช่ของตนเอง
(บันทึกโดย ท่านอิมาม มุสลิม ในฮะดีษซอฮีฮฺ ของท่าน เลขที่ 2729)
จากฮะดีษที่รายงานโดยท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา
แท้จริง ปรากฏว่ามีตัวบทจากฮะดีษมากมายที่ซอฮีฮฺ ห้ามมิให้บุคคลใดอ้างอิงเชื้อสายของบุคคลอื่นๆ ทั้งที่มิใช่เชื้อสายของตนเอง จากฮะดีษเหล่านั้นที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวก็คือ ฮะดีษชองท่าน อบี ซัรริน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า เขาได้ยินท่านร่อซูล กล่าวว่า :
(( لَيْسَ مِنْ رَجُلٍ ادَّعَى لِغَيْرِ أَبِيْهِ وَهُوَ يَعْلَمُهُ إلَّا كَفَرَ بِاللهِ ، وَمَنْ ادَّعَى قَوْمًا لَيْسَ لَهُ فِيْهِمْ نَسَبٌ فَلْيَتَبَوَّأْ مَقْعَدَهُ مِنْ النَّارِ )) |
ไม่มีผู้ใดอ้างบุคคลอื่นเป็นบิดาของเขา ทั้งๆที่ เขารู้ว่าบุคคลนั้นมิใช่บิดาของเขา (ที่แท้จริง) นอกจากเขาได้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และผู้ใดอ้างว่าตัวเขามาจากชนกลุ่มหนึ่ง ทั้งๆเขามิๆได้สืบเชื้อสายมาจากคนกลุ่มนั้นเลย ดังนั้น เขาจงเตรียมที่นั่งของเขาไว้ในไปนรกเถิด
(บันทึกโดย อิมาม บุคอรีย์ ฮะดีษเลขที่ 3508 และท่านอิมาม มุสลิม ฮะดีษเลขที่ 112 ซึ่งข้อความนี้เป็นบันทึกของอิมามบุคอรีย์)
และมีฮะดีษบันทึกไว้ในซอฮี๊ฮฺ อัลบุคอรีย์ (ฮะดีษเลขที่ 3509) จากรายงานของวาซิละฮฺ อิบนุล อัซเกาะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านร่อซูล กล่าว่า
(( إِنَّ مِنْ أَعْظَمِ الْفِرَى أَنْ يَدَّعِي الرَّجُلُ إِلَى غَيْرِ أَبِيْهِ ، أَوْ يُريَ عَيْنَهُ مَالَمْ تَرَ ، أَوْيَقُوْلَ عَلَى رَسُوْلِ اللهِ مَالَمْ يَقُلْ )) |
แท้จริง การกล่าวเท็จที่ยิ่งใหญ่หนึ่งประการคือ การมีผู้หนึ่ง ผู้ใดอ้างบุคคลอื่นเป็นบิดาของเขา หรือว่าอ้างว่าเขาฝันเห็นของสิ่งหนึ่ง (ทั้งสองตาของเขา) ทั้งๆที่เขาไม่ได้เห็นของสิ่งนั้น หรือกุเรื่องว่า ท่านร่อซูล กล่าวในสิ่งที่ท่านไม่ได้กล่าว
ในฮะดีษ มัจญฺมู๊อฺ ฟะตะวา ของท่านชัยคุล อิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ (เล่มที่ 31 หน้าที่ 93) กล่าวว่า : "การสถาปนาตัวว่า เป็นวงศ์วานของท่าน (นบี) หรือว่าตนเองมากตระกูลที่สูงส่งนั้น ไม่บังควรอย่างยิ่งที่ใครจะทำเช่นนั้น นอกจากผู้ที่เชื้อสายของเขาสืบถึงวงศ์วานของท่านนบีอย่างชัดเจนเท่านั้น
แท้จริง มีผู้ถามท่านอิบนุ ตัยมียะฮฺ ถึงการสถาปนาตัวที่มีผู้ถูกสถาปนาตัวมาจากตระกูลที่สูงส่ง โดยที่เขากล่าวอ้างว่า พวกเขาเป็นญาติใกล้ชิด ฉะนั้น คำว่าญาติใกล้ชิดนั้น จำต้องเป็นญาติที่มีเกียรติ หรือไม่จำเป็นต้องมีเกียรติ? และจะอนุญาตให้พวกเขาได้รับสิ่งใดได้บ้างหรือไม่จากการสถาปนาตัวนั้น?
ท่านเชค อิบนุ ตัยมียะฮฺ ได้ตอบคำถามโดยกล่าวว่า :
บรรดาการสรรเสริญทั้งมวลนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ถ้าการสถาปนาตัวว่าอยู่ในวงศ์วานของท่านนบี หรือสถาปนาตัวว่ามาจากบางกลุ่มที่เป็นวงศ์วาน อย่างเช่น มาจากตระกูล อะละวียีน ตระกูล ฟาฏิมียีน หรือตระกูล อัฏฏอลิบีน ซึ่งตระกูล ญะอฺฟัร และตระกูล อะกีล เข้ามารวมอยู่ในตระกูลนี้ด้วย หรือสถาปนาตัวว่ามาจากตระกูล อับบาซียีน และกลุ่มอื่นๆ อีกที่มาจากวงศ์วานของท่านนบี ฯลฯ การกระทำเช่นนั้น ไม่สมควรกระทำนอกจากผู้ที่มีเชื้อสายของเขาสืบมาอย่างถูกต้องและยืนยันได้เท่านั้น ส่วนผู้ที่อ้างว่าเขาสืบเชื้อสายมาจากวงศ์วานของท่านนบี หรือรู้ตัวว่า เขาคนนั้นไม่ใช่คนในวงศ์วาน ที่แท้จริงแล้ว มันก็ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะสถาปนาตัวอย่างนี้ และถ้าหากมีผู้อ้างว่า เขาเป็นคนที่มาจากวงศ์วานของท่านนบี เช่นตระกูล อับดุลลอฮฺ อิบนุ มัยมูน อัลก็อดด๊าอฺ ซึ่งบรรดาผู้เชี่ยวชาญ (อุละมาอฺ) ทางด้านเชื้อสายและแม้ผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญต่างก็รู้ดีว่า พวกนั้นมิได้มีเชื้อสายที่ถูกต้อง ที่สืบถึง (วงศ์วานของท่านนบีเลย)
กลุ่มผู้รู้หลายกลุ่ม อาทิเช่น กลุ่มผู้รู้ทางนิติศาสตร์อิสลาม กลุ่มผู้รู้ทางฮะดีษ กลุ่มผู้รู้ทางวิชาอัลกะลาม (วาทะวิทยา) และกลุ่มผู้รู้ทางด้านเชื้อสายของตระกูลได้ยืนยันในกรณีดังกล่าวมาแล้ว ซึ่งมีปรากฏอยู่ในเอกสารรายงานอย่างถูกต้องตามบัญญัติศาสนาได้ระบุถึงเรื่องนี้ไว้ในตำราต่างๆที่ทรงคุณค่าที่เป็นตำราของบรรดามุสลิม ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่องจากผู้รู้ทางวิชาการด้านศาสนา (อุละมาอฺ อัลอิสลาม) อีกด้วย
และเช่นเดียวกัน ผู้ที่ยกตัวเองว่ามาจากตระกูลที่มีเกียรติจากวงศ์วานของท่านนบี แท้จริง ถ้อยคำเช่นนี้เป็นค่านิยมทางประเพณีที่ไม่น่าเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับวงศ์วานของท่านนบี นอกจากผู้ที่อ้างนั้นจะมีเชื้อสายสืบมาอย่างถูกต้องจากวงศ์วานของท่านนบี จริงเท่านั้น
ส่วนผู้ที่สถาปนาตัวเองว่ามาจากตระกูลนี้ หรือเป็นญาติใกล้ชิดกับคนนั้นคนนี้ ฯลฯ อันสถานาตัวขึ้นมาเองนั้น ไม่มีสิ่งใดแสดงว่าตัวเขานั้นมาจากวงศ์วานของท่านนบี เลย ดังนั้น สิ่งที่ถูกสถาปนาขึ้นมาจึงเป็นสิทธิ์ของผู้นั้น และการที่เขาได้สถาปนาตัวเขาว่ามาจากตระกูลที่ถูกเจาะจงแน่นอนนั้น ถือว่าถูกต้องไม่ผิดอะไร (ในกรณีนี้) ตระกูลฮาชิม ไม่มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการสถาปนานี้เลย เพราะตระกูลฮาชิมรวมอยู่ในวงศ์วานของท่านนบี โดยแท้จริงอยู่แล้ว"
ณ ที่นี้ เอกสารเกี่ยวกับ อะฮฺลุ้ลบัยติ (วงศ์วานของท่านนบี ) และสถานภาพอันสูงส่งของบรรดาท่านเหล่านั้น ในทัศนะของ "อะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ ต้องจบลงเพียงเท่านี้ และข้าพเจ้าขอวิงวอนต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงประทานความสำเร็จ (อัตเตาฟี๊ก) ให้กับในสิ่งที่พระองค์ทรงพอพระทัย และขอได้ทรงประทานความเข้าใจในศาสนาของพระองค์ และขอได้ทรงประทานการยืนหยัดอย่างมั่นคงในความจริงให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
แท้จริง พระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน เป็นผู้ทรงตอบรับคำวิงวอนขอ และขอพระองค์ได้ทรงประทานพร และทรงประทานความปลอดภัย และทรงประทานความสิริมงคล ให้แก่ท่านนบีมุฮัมมัด ซึ่งเป็นนบีของพวกเรา ให้แก่วงศ์วานของท่าน และให้แก่บรรดาซอฮาบะฮฺของท่านทุกคนโดยถ้วนหน้ากันด้วยเถิด
وصلى الله وسلم وبارك على نبينا محمد وعلى آله وأصحابه أجمعين |
ความประเสริฐ และฐานะอันสูงส่งของ อะฮฺลุ้ลบัยติ ณ อะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ