ประเด็นที่เก้า :
เรื่องความอ่อนแอ และความด้อยกว่าของมุสลิมที่ไม่สามารถต่อกรกับผู้ไร้ศรัทธา
อัลลอฮ์ ได้ทรงแจ้งเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาดังกล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน และทรงชี้แจงให้ทราบว่าแท้จริงพระองค์ทรงรู้ดีถึงความบริสุทธิ์ใจ ที่อยู่ในหัวใจของผู้เป็นบ่าวของพระองค์ ผลจากความบริสุทธิ์ใจ (إخلاص) นั้นทำให้ได้รับชัยชนะเหนือผู้ที่เข้มแข็งกว่า ด้วยเหตุนี้เมื่อ อัลลอฮ์ ทรงทราบถึงความบริสุทธิ์ใจ ของผู้ที่ให้สัตยาบัน (بيعة الرضوان) ตามสภาพที่แท้จริง พระองค์จึงได้ทรงกล่าวถึงความบริสุทธิ์ใจ ของพวกเขา ไว้ในดำรัสของพระองค์ที่ว่า
"โดยแน่นอน พระองค์ทรงพอพระทัยต่อบรรดาผู้ศรัทธา ขณะที่พวกเขาให้สัตยาบันต่อเจ้า (มุฮัมมัด)ใต้ต้นไม้ (ที่ฮุดัยบียะฮ์) พระองค์ทรงรู้ดีถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจ ของพวกเขา พระองค์จึงทรงประทานความสงบใจลงมาบนพวกเขา และได้ทรงตอบแทนให้แก่พวกเขา" (อัลฟัตฮ์ : 18)
พระองค์จึงทรงให้พวกเขามีชัยชนะ โดยที่พวกปฏิเสธเหล่านั้นไม่สามารถจะทำอะไรพวกเขาได้
และอัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า
"และยังมี (ทรัพย์เชลย) อื่นๆ ที่พวกเจ้าไม่สามารถจะเอาชนะมันได้ แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงล้อมมันไว้แล้ว (คืออาณาจักรเปอร์เซียและโรมันตะวันออก)และอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงอนานุภาพเหนือ ทุกสิ่งทุกอย่าง" (อัลฟัตฮ์ : 21)
พระองค์ทรงแจ้งให้ทราบว่า พวกเขานั้นไม่สามารถเอาชนะพวกนั้นได้ และครั้นเมื่อพระองค์ทรงประจักษ์ชัดแจ้งถึงความบริสุทธิ์ใจ พระองค์จึงทรงให้พวกเขามีชัยชนะ เมื่อบรรดาผู้ปฏิเสธยกทัพมาทำสงครามกับบรรดามุสลิมในครั้งสงคราม อะฮ์ซาบ โดยใช้กำลังทหารจำนวนมากปิดล้อมไว้ และทรงให้อาณาจักรทั้งสองดังกล่าว ตกเป็นทรัพย์เชลยแก่มุสลิม ดังที่ อัลลอฮ์ ทรงกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวไว้ว่า
"จงรำลึกถึงเมื่อพวกเขายกทัพมายังพวกเจ้า ทั้งจากด้านบน (ตะวันออก) และจากทางด้านล่าง (ตะวันตก) ของพวกเจ้า และเมื่อนัยน์ตาได้เหลือกลาน และหัวใจมาจุกอยู่ที่ลูกกระเดือก และพวกเจ้านึกคิดกันเกี่ยวกับอัลลอฮ์ไปต่างๆ นานา และขณะนั้นบรรดาผู้ศรัทธาได้ถูกทดสอบเข้าแล้ว และพวกเขาถูกทำให้หวั่นไหว สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง" (อัลอะห์ซาบ: 10-11)
วิธีการแก้ไขความอ่อนแอ และการปิดล้อมของกำลังข้าศึกดังกล่าวคือ การมีความบริสุทธิ์ใจ ต่ออัลลอฮ์ และด้วยกับพลังการศรัทธา (อีมาน) ที่มีต่อพระองค์นั่นเอง ดังดำรัสของอัลลอฮ์ ที่ว่า
"และเมื่อบรรดาผู้ศรัทธา ได้เห็นบรรดาข้าศึกต่างๆเหล่านั้น พวกเขา (มุมิน) ได้กล่าวขึ้นว่า นี่คือสิ่งที่อัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ได้สัญญาไว้แก่เรา และอัลลอฮ์และเราะซูล ของพระองค์ได้ตรัสไว้สมจริงแล้ว และมันมิได้เพิ่มสิ่งใดให้แก่พวกเขานอกจากการศรัทธาและการนอบน้อม" (อัลอะห์ซาบ : 22)
และอัลลอฮ์ จึงทรงตรัสว่า
"และอัลลอฮ์ ทรงให้พวกปฏิเสธศรัทธาถอยทัพกลับไป พร้อมกับความเคียดแค้นของพวกเขา โดยที่พวกเขามิได้ประสบความดีแต่อย่างใด และอัลลอฮ์ทรงพอเพียงแล้วแก่บรรดาผู้ศรัทธาในการสู้รบ และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงพลัง เป็นผู้ทรงอำนาจอย่างเด็ดขาด และพระองค์ทรงให้บรรดาผู้ที่แสดงตัวในการช่วยเหลือพวกเขา (มุชริกีน) จากพวกอะฮ์ลุ้ลกิตาบ (พวกยิวเผ่าบะนีกุรอยเซาะฮ์) ลงมาจากป้อมปราการอันเป็นที่มั่นของพวกเขา และทรงให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นในหัวใจของพวกเขา ส่วนหนึ่งจากพวกเขาที่พวกเจ้าสังหาร และอีกจำนวนหนึ่งที่พวกเจ้าจับเป็นเชลย และพระองค์ทรงให้พวกเจ้าได้รับมรดกปกครองแผ่นดินของพวกเขา ที่อยู่อาศัยของพวกเขา และทรัพย์สินของพวกเขา และแผ่นดินที่พวกเจ้ามิเคยเหยียบย่างเข้าไป และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง" (อัลอะห์ซาบ : 25-27)
และสิ่งที่อัลลอฮ์ ได้ทรงช่วยเหลือเหล่ามุสลิม ซึ่งพวกเขาไม่เคยนึกคิดมาก่อน คือการส่งมลาอิกะฮ์และลมพายุมาช่วยเหลือ
ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า
"โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงนึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเจ้า ขณะที่กองทัพข้าศึกเข้ามารุกรานพวกเจ้า แล้วเราได้ส่งลมพายุพัดกระหน่ำเข้าใส่พวกเขา และกองกำลังทหารที่พวกเจ้ามองไม่เห็น (มลาอิกะฮ์) และอัลลอฮ์ ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ" (อัลอะห์ซาบ : 9)
และนี่จึงเป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นถึงความถูกต้องของศาสนาอิสลามที่ว่า กลุ่มชนจำนวนน้อยแต่เป็นผู้ที่ยึดมั่นอยู่กับศาสนาอิสลามนั้น สามารถเอาชนะเหนือกลุ่มชนจำนวนมากแต่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาได้
ดังดำรัสของอัลลอฮ์ ที่ว่า
" กี่มากน้อยแล้ว ที่กลุ่มชนจำนวนน้อยสามารถเอาชนะกลุ่มชนจำนวนมากได้ด้วยอนุมัติของ อัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นั้นทรงอยู่กับบรรดาผู้อดทนทั้งหลาย"(อัลบะเกาะเราะฮ์ : 249)
และด้วยเหตุนี้ อัลลอฮ์ จึงทรงขนานนามวัน "บะดัร" ว่าเป็นสัญญาณหนึ่ง (อายะฮ์) และเป็นหลักฐานอันชัดแจ้ง (บัยยินะฮ์) และเป็นการแยกกันระหว่าง ความจริงกับความเท็จ (ฟุรกอน) เพื่อเป็นหลักฐานบ่งชี้ชัดถึงความถูกต้องของศาสนาอิสลาม ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า
แท้จริง มีสัญญาณหนึ่งได้ปรากฏแก่พวกเจ้า จากสองฝ่ายที่เผชิญหน้ากัน โดยที่ฝ่ายหนึ่งต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา (อาลาอิมรอน : 13 )
และอัลลอฮ์ ตรัสว่า
"...หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และสิ่งที่เราได้ให้ลงมาแก่บ่าวของเราในวันแห่งการจำแนกแยกระหว่างการศรัทธากับการปฏิเสธศรัทธา..." ( อัลอันฟาล : 41)
และนี่คือวันสงครามบะดัรนั่นเอง อัลลอฮ์ ตรัสว่า
"... เพื่อว่าผู้พินาศจะได้พินาศไปด้วยกับหลักฐานอันชัดแจ้ง..." (อัลอัมฟาล : 42)
สงครามบะดัร ต่างยืนยันในความเป็นจริงด้วยหลักฐานต่างๆแล้ว และไม่เป็นที่สงสัยใดๆว่า การที่กลุ่มชนที่น้อยกว่าแต่เป็นผู้ที่ศรัทธา สามารถเอาชนะกลุ่มชนจำนวนมากที่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาได้ ย่อมเป็นหลักฐานว่ากลุ่มชนที่ตั้งอยู่บนความถูกต้องนั้น แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงช่วยเหลือพวกเขา ดังที่พระองค์ได้ตรัสเมื่อเกิดสงครามบะดัรว่า
"และแท้จริง อัลลอฮ์ ได้ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าที่บะดัรมาแล้ว ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าเป็นพวกที่ด้อยกว่า ดังนั้นพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะขอบคุณ"(อะลาอิมรอน : 123 )
และพระองค์ ยังตรัสอีกว่า
"จงรำลึกถึง ขณะที่พระเจ้าของเจ้าได้บัญชาแก่มลาอิกะฮ์ว่า แท้จริงข้านั้นอยู่ร่วมกับพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงทำให้บรรดาผู้ศรัทธามั่นคงเถิด ข้าจะโยนความหวาดกลัวเข้าไปในหัวใจของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา..." ( อัลอันฟาล : 12 )
อัลลอฮ์ ทรงสัญญากับบรรดาผู้ศรัทธาว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยเหลือ และพระองค์ ได้ทรงแจ้งถึงลักษณะ และทรงแยกแยะพวกเขาไว้จากกลุ่มอื่น ๆ อย่างชัดเจนดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า
"...และแน่นอนอัลลอฮ์ จะทรงช่วยเหลือผู้ที่สนับสนุนศาสนาของพระองค์อย่างแน่นอน แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงเดชานุภาพอย่างแท้จริง" (อัลฮัจญ์ : 40)
ต่อมา อัลลอฮ์ ได้ทรงจำแนกลักษณะของผู้ศรัทธาออกจากผู้ที่ไม่มีลักษณะดังกล่าว ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า
"บรรดาผู้ที่เรา (อัลลอฮ์) ให้พวกเขามีอำนาจในแผ่นดิน คือบรรดาผู้ที่ดำรงการละหมาด จ่ายซะกาต กำชับและใช้กันให้ทำความดี และห้ามปรามกันให้ละเว้นความชั่ว และผลสุดท้ายแห่งกิจการงานทั้งหลาย ย่อมกลับไปยังอัลลอฮ์" (อัลฮัจญ์ : 41)
และนี่คือการแก้ไข ซึ่งได้ชี้แนะให้ทราบว่าเป็นการแก้ไขต่อการปิดล้อม ด้วยกองกำลังทหารของอัลลอฮ์ พระองค์ทรงชี้แนะไว้ในซูเราะฮ์ อัลมุนาฟิกูน อีกเช่นกัน ในการแก้ไขการปิดล้อมทางเศรษฐกิจ
ดังที่อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า
"และพวกเขาคือผู้ที่กล่าวว่า อย่าบริจาคให้กับผู้ที่อยู่กับศาสนทูตของอัลลอฮ์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้แยกตัวออกไป..."(อัลมุนาฟิกูน: 7)
และนี่คือ สิ่งที่บรรดามุนาฟิกูนต้องการที่จะเล่นงานบรรดามุสลิม ด้วยการปิดล้อมทางเศรษฐกิจอย่างเห็นชัดๆ และอัลลอฮ์ ทรงชี้แนะในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยกับพลังแห่งการศรัทธา (อีมาน) ที่มีต่อพระองค์ และหันหน้าสู่พระองค์ผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงยิ่งใหญ่ อย่างแท้จริง ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า
"...แต่บรรดาขุมคลังแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้น ล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ แต่ทว่าพวกที่หน้าไหว้หลังหลอก (มุนาฟิกีน) นั้น ไม่เข้าใจ"(อัลมุนาฟิกูน : 7)
ขุมคลังแห่งฟากฟ้าและแผ่นดินอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ อัลลอฮ์ จะไม่ทำให้ผู้ที่เข้ามาขอพึ่งพา เป็นผู้ปฏิบัติตามคัมภีร์พระองค์ต้องสิ้นหวังเป็นอันขาด
ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า
"...และผู้ใดยำเกรงอัลลอฮ์ พระองค์ก็จะทรงประทานทางออกให้แก่เขา และจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่เขา จากที่ที่เขามิได้คาดคิดมาก่อน และผู้ใดมอบหมายต่ออัลลอฮ์ พระองค์ทรงเป็นผู้พอเพียงแล้วสำหรับเขา..." (อัฏเฏาะล๊าก : 2-3)
และอัลลอฮ์ ทรงแจ้งเพิ่มเติม ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า
" และหากพวกเจ้ากลัวความยากจน อัลลอฮ์ก็จะทรงทำให้พวกเจ้ามั่งมี จากความกรุณาของพระองค์ หากพระองค์ทรงประสงค์ แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ" (อัตเตาบะฮ์ : 28)ประเด็นที่ 10 >>>>Click