ประเด็นที่ 9 ความอ่อนแอและความด้อยกว่าของมุสลิม
  จำนวนคนเข้าชม  31499

ประเด็นที่เก้า :
เรื่องความอ่อนแอ และความด้อยกว่าของมุสลิมที่ไม่สามารถต่อกรกับผู้ไร้ศรัทธา
 

          อัลลอฮ์   ได้ทรงแจ้งเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาดังกล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน และทรงชี้แจงให้ทราบว่าแท้จริงพระองค์ทรงรู้ดีถึงความบริสุทธิ์ใจ ที่อยู่ในหัวใจของผู้เป็นบ่าวของพระองค์ ผลจากความบริสุทธิ์ใจ (إخلاص) นั้นทำให้ได้รับชัยชนะเหนือผู้ที่เข้มแข็งกว่า ด้วยเหตุนี้เมื่อ อัลลอฮ์   ทรงทราบถึงความบริสุทธิ์ใจ ของผู้ที่ให้สัตยาบัน (بيعة الرضوان) ตามสภาพที่แท้จริง พระองค์จึงได้ทรงกล่าวถึงความบริสุทธิ์ใจ  ของพวกเขา ไว้ในดำรัสของพระองค์ที่ว่า

  
"โดยแน่นอน พระองค์ทรงพอพระทัยต่อบรรดาผู้ศรัทธา ขณะที่พวกเขาให้สัตยาบันต่อเจ้า (มุฮัมมัด)ใต้ต้นไม้ (ที่ฮุดัยบียะฮ์) พระองค์ทรงรู้ดีถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจ ของพวกเขา พระองค์จึงทรงประทานความสงบใจลงมาบนพวกเขา และได้ทรงตอบแทนให้แก่พวกเขา"   (อัลฟัตฮ์ : 18)

 
          พระองค์จึงทรงให้พวกเขามีชัยชนะ โดยที่พวกปฏิเสธเหล่านั้นไม่สามารถจะทำอะไรพวกเขาได้
 
และอัลลอฮ์   ทรงตรัสว่า

 
"และยังมี (ทรัพย์เชลย) อื่นๆ ที่พวกเจ้าไม่สามารถจะเอาชนะมันได้ แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงล้อมมันไว้แล้ว (คืออาณาจักรเปอร์เซียและโรมันตะวันออก)และอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงอนานุภาพเหนือ ทุกสิ่งทุกอย่าง" (อัลฟัตฮ์ : 21)

 
            พระองค์ทรงแจ้งให้ทราบว่า พวกเขานั้นไม่สามารถเอาชนะพวกนั้นได้ และครั้นเมื่อพระองค์ทรงประจักษ์ชัดแจ้งถึงความบริสุทธิ์ใจ พระองค์จึงทรงให้พวกเขามีชัยชนะ เมื่อบรรดาผู้ปฏิเสธยกทัพมาทำสงครามกับบรรดามุสลิมในครั้งสงคราม อะฮ์ซาบ โดยใช้กำลังทหารจำนวนมากปิดล้อมไว้ และทรงให้อาณาจักรทั้งสองดังกล่าว ตกเป็นทรัพย์เชลยแก่มุสลิม ดังที่   อัลลอฮ์   ทรงกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวไว้ว่า
 
 
"จงรำลึกถึงเมื่อพวกเขายกทัพมายังพวกเจ้า ทั้งจากด้านบน (ตะวันออก) และจากทางด้านล่าง (ตะวันตก) ของพวกเจ้า และเมื่อนัยน์ตาได้เหลือกลาน และหัวใจมาจุกอยู่ที่ลูกกระเดือก และพวกเจ้านึกคิดกันเกี่ยวกับอัลลอฮ์ไปต่างๆ นานา และขณะนั้นบรรดาผู้ศรัทธาได้ถูกทดสอบเข้าแล้ว และพวกเขาถูกทำให้หวั่นไหว สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง"  (อัลอะห์ซาบ:  10-11)

 
           วิธีการแก้ไขความอ่อนแอ และการปิดล้อมของกำลังข้าศึกดังกล่าวคือ การมีความบริสุทธิ์ใจ ต่ออัลลอฮ์   และด้วยกับพลังการศรัทธา (อีมาน) ที่มีต่อพระองค์นั่นเอง   ดังดำรัสของอัลลอฮ์   ที่ว่า
 
 
"และเมื่อบรรดาผู้ศรัทธา ได้เห็นบรรดาข้าศึกต่างๆเหล่านั้น พวกเขา (มุมิน) ได้กล่าวขึ้นว่า นี่คือสิ่งที่อัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ได้สัญญาไว้แก่เรา และอัลลอฮ์และเราะซูล ของพระองค์ได้ตรัสไว้สมจริงแล้ว และมันมิได้เพิ่มสิ่งใดให้แก่พวกเขานอกจากการศรัทธาและการนอบน้อม"  (อัลอะห์ซาบ :  22)

 
และอัลลอฮ์   จึงทรงตรัสว่า

 
"และอัลลอฮ์ ทรงให้พวกปฏิเสธศรัทธาถอยทัพกลับไป พร้อมกับความเคียดแค้นของพวกเขา โดยที่พวกเขามิได้ประสบความดีแต่อย่างใด และอัลลอฮ์ทรงพอเพียงแล้วแก่บรรดาผู้ศรัทธาในการสู้รบ และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงพลัง เป็นผู้ทรงอำนาจอย่างเด็ดขาด และพระองค์ทรงให้บรรดาผู้ที่แสดงตัวในการช่วยเหลือพวกเขา (มุชริกีน) จากพวกอะฮ์ลุ้ลกิตาบ (พวกยิวเผ่าบะนีกุรอยเซาะฮ์) ลงมาจากป้อมปราการอันเป็นที่มั่นของพวกเขา และทรงให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นในหัวใจของพวกเขา ส่วนหนึ่งจากพวกเขาที่พวกเจ้าสังหาร และอีกจำนวนหนึ่งที่พวกเจ้าจับเป็นเชลย และพระองค์ทรงให้พวกเจ้าได้รับมรดกปกครองแผ่นดินของพวกเขา ที่อยู่อาศัยของพวกเขา และทรัพย์สินของพวกเขา และแผ่นดินที่พวกเจ้ามิเคยเหยียบย่างเข้าไป  และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง" (อัลอะห์ซาบ : 25-27)

     
           และสิ่งที่อัลลอฮ์   ได้ทรงช่วยเหลือเหล่ามุสลิม ซึ่งพวกเขาไม่เคยนึกคิดมาก่อน คือการส่งมลาอิกะฮ์และลมพายุมาช่วยเหลือ
 
ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า

 
"โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย   จงนึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเจ้า ขณะที่กองทัพข้าศึกเข้ามารุกรานพวกเจ้า  แล้วเราได้ส่งลมพายุพัดกระหน่ำเข้าใส่พวกเขา  และกองกำลังทหารที่พวกเจ้ามองไม่เห็น (มลาอิกะฮ์) และอัลลอฮ์ ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ"   (อัลอะห์ซาบ : 9)

 
          และนี่จึงเป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นถึงความถูกต้องของศาสนาอิสลามที่ว่า กลุ่มชนจำนวนน้อยแต่เป็นผู้ที่ยึดมั่นอยู่กับศาสนาอิสลามนั้น สามารถเอาชนะเหนือกลุ่มชนจำนวนมากแต่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาได้  
 
ดังดำรัสของอัลลอฮ์   ที่ว่า
 

"…กี่มากน้อยแล้ว ที่กลุ่มชนจำนวนน้อยสามารถเอาชนะกลุ่มชนจำนวนมากได้ด้วยอนุมัติของ อัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นั้นทรงอยู่กับบรรดาผู้อดทนทั้งหลาย"(อัลบะเกาะเราะฮ์ : 249)       

 
           และด้วยเหตุนี้ อัลลอฮ์   จึงทรงขนานนามวัน "บะดัร" ว่าเป็นสัญญาณหนึ่ง (อายะฮ์) และเป็นหลักฐานอันชัดแจ้ง (บัยยินะฮ์) และเป็นการแยกกันระหว่าง ความจริงกับความเท็จ (ฟุรกอน) เพื่อเป็นหลักฐานบ่งชี้ชัดถึงความถูกต้องของศาสนาอิสลาม  ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า

 
“แท้จริง มีสัญญาณหนึ่งได้ปรากฏแก่พวกเจ้า จากสองฝ่ายที่เผชิญหน้ากัน โดยที่ฝ่ายหนึ่งต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา…”(อาลาอิมรอน : 13 )
 

และอัลลอฮ์   ตรัสว่า

 
"...หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และสิ่งที่เราได้ให้ลงมาแก่บ่าวของเราในวันแห่งการจำแนกแยกระหว่างการศรัทธากับการปฏิเสธศรัทธา..."      ( อัลอันฟาล : 41)

 
และนี่คือวันสงครามบะดัรนั่นเอง อัลลอฮ์   ตรัสว่า

           
"... เพื่อว่าผู้พินาศจะได้พินาศไปด้วยกับหลักฐานอันชัดแจ้ง..."  (อัลอัมฟาล :  42)

 
          สงครามบะดัร ต่างยืนยันในความเป็นจริงด้วยหลักฐานต่างๆแล้ว และไม่เป็นที่สงสัยใดๆว่า การที่กลุ่มชนที่น้อยกว่าแต่เป็นผู้ที่ศรัทธา สามารถเอาชนะกลุ่มชนจำนวนมากที่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาได้ ย่อมเป็นหลักฐานว่ากลุ่มชนที่ตั้งอยู่บนความถูกต้องนั้น แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงช่วยเหลือพวกเขา ดังที่พระองค์ได้ตรัสเมื่อเกิดสงครามบะดัรว่า

 
"และแท้จริง อัลลอฮ์ ได้ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าที่บะดัรมาแล้ว ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าเป็นพวกที่ด้อยกว่า ดังนั้นพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะขอบคุณ"(อะลาอิมรอน : 123 )

 
และพระองค์ ยังตรัสอีกว่า

 
"จงรำลึกถึง ขณะที่พระเจ้าของเจ้าได้บัญชาแก่มลาอิกะฮ์ว่า แท้จริงข้านั้นอยู่ร่วมกับพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงทำให้บรรดาผู้ศรัทธามั่นคงเถิด ข้าจะโยนความหวาดกลัวเข้าไปในหัวใจของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา..." ( อัลอันฟาล : 12 )
 
          อัลลอฮ์   ทรงสัญญากับบรรดาผู้ศรัทธาว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยเหลือ และพระองค์ ได้ทรงแจ้งถึงลักษณะ และทรงแยกแยะพวกเขาไว้จากกลุ่มอื่น ๆ อย่างชัดเจน

 ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า

 
"...และแน่นอนอัลลอฮ์  จะทรงช่วยเหลือผู้ที่สนับสนุนศาสนาของพระองค์อย่างแน่นอน แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงเดชานุภาพอย่างแท้จริง" (อัลฮัจญ์ : 40)


         ต่อมา อัลลอฮ์   ได้ทรงจำแนกลักษณะของผู้ศรัทธาออกจากผู้ที่ไม่มีลักษณะดังกล่าว   ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า

 
"บรรดาผู้ที่เรา (อัลลอฮ์) ให้พวกเขามีอำนาจในแผ่นดิน คือบรรดาผู้ที่ดำรงการละหมาด จ่ายซะกาต กำชับและใช้กันให้ทำความดี และห้ามปรามกันให้ละเว้นความชั่ว  และผลสุดท้ายแห่งกิจการงานทั้งหลาย ย่อมกลับไปยังอัลลอฮ์"  (อัลฮัจญ์ : 41) 

      
          และนี่คือการแก้ไข ซึ่งได้ชี้แนะให้ทราบว่าเป็นการแก้ไขต่อการปิดล้อม ด้วยกองกำลังทหารของอัลลอฮ์    พระองค์ทรงชี้แนะไว้ในซูเราะฮ์ อัลมุนาฟิกูน อีกเช่นกัน ในการแก้ไขการปิดล้อมทางเศรษฐกิจ
 
ดังที่อัลลอฮ์   ทรงตรัสว่า
 

"และพวกเขาคือผู้ที่กล่าวว่า อย่าบริจาคให้กับผู้ที่อยู่กับศาสนทูตของอัลลอฮ์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้แยกตัวออกไป..."(อัลมุนาฟิกูน:  7)                                    
                                                              
           และนี่คือ สิ่งที่บรรดามุนาฟิกูนต้องการที่จะเล่นงานบรรดามุสลิม ด้วยการปิดล้อมทางเศรษฐกิจอย่างเห็นชัดๆ และอัลลอฮ์   ทรงชี้แนะในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยกับพลังแห่งการศรัทธา (อีมาน) ที่มีต่อพระองค์ และหันหน้าสู่พระองค์ผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงยิ่งใหญ่ อย่างแท้จริง ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า

 
"...แต่บรรดาขุมคลังแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้น  ล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ แต่ทว่าพวกที่หน้าไหว้หลังหลอก (มุนาฟิกีน) นั้น ไม่เข้าใจ"(อัลมุนาฟิกูน : 7)

 
          ขุมคลังแห่งฟากฟ้าและแผ่นดินอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ อัลลอฮ์   จะไม่ทำให้ผู้ที่เข้ามาขอพึ่งพา เป็นผู้ปฏิบัติตามคัมภีร์พระองค์ต้องสิ้นหวังเป็นอันขาด 
 
ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า

 
"...และผู้ใดยำเกรงอัลลอฮ์ พระองค์ก็จะทรงประทานทางออกให้แก่เขา และจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่เขา จากที่ที่เขามิได้คาดคิดมาก่อน และผู้ใดมอบหมายต่ออัลลอฮ์  พระองค์ทรงเป็นผู้พอเพียงแล้วสำหรับเขา..."  (อัฏเฏาะล๊าก : 2-3)      

 
และอัลลอฮ์   ทรงแจ้งเพิ่มเติม ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า

 
"…และหากพวกเจ้ากลัวความยากจน  อัลลอฮ์ก็จะทรงทำให้พวกเจ้ามั่งมี จากความกรุณาของพระองค์  หากพระองค์ทรงประสงค์ แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ"  (อัตเตาบะฮ์ : 28)

ประเด็นที่ 10 >>>>Click