วิธีการต่าง ๆ ในการต่อต้านการเผยแพร่อิสลามของท่านนบีมุฮัมหมัด
การดูถูก เย้ยหยัน
พวกมุชริกีนได้เยาะเย้ยท่านนะบี และผู้ที่ปฏิบัติตามท่าน และสิ่งที่ถูกประทานลงมาให้แก่ท่าน พวกเขากล่าวว่า :
พระองค์อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่พบใครอีกแล้วหรือ ถึงได้แต่งตั้งท่านเป็นนะบี ทั้งๆ ที่ในพวกกุเรชนั้นมีคนที่มีเกียรติ และยิ่งใหญ่กว่าท่านอีกมาก
อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ในอัลกุรอาน ความว่า :
และพวกเขากล่าวว่า ทำไมอัลกุรอานนี้จึงไม่ถูกประทานลงมาให้แก่ชายผู้มีความสำคัญแห่งสองเมืองนี้ (อัซซุครุฟ 43:31)
นอกเหนือไปจากนั้น พวกเขาไม่ยอมเรียกชื่อของท่านนะบีตรงๆ แต่จะเรียกท่านด้วยฉายาที่บ่งบอกถึงการเยาะเย้ย เช่น เรียกท่านว่า الصابي ผู้เคารพดวงดาว บ้าง مذمم ผู้ถูกตำหนิบ้าง
พวกเขายังเย้ยหยันต่อผู้ที่ปฏิบัติตามท่านว่า :จากพวกของเรานั้นไม่มีใครตามเขา นอกจากพวกนี้หรือ?
และยังต่อรองว่า :
มุฮัมมัด ถ้าเจ้าต้องการให้พวกเราเชื่อ และปฏิบัติตามเจ้าแล้ว เจ้าจะต้องขับไล่พวกนี้ออกไปให้พ้นจากท่าน
พวกเขากล่าวหาท่านนะบี ต่างๆนานา เช่น กล่าวว่าเป็นนักเวทย์มนต์ หมอผี คนบ้า คนโกหก แต่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้โต้ตอบในทุกข้อกล่าวหา ว่า ท่านนะบี นั้นบริสุทธิ์จากลักษณะต่างๆที่พวกเขากล่าวหาโดยสิ้นเชิง
การดูถูกเยาะเย้ย การโกหก ถือเป็นอาวุธที่ศัตรูของอิสลาม ใช้ในการบิดเบือนภาพลักษณ์ของอิสลามและมุสลิม โดยใช้สื่อต่างๆ ดังเช่นที่เห็นในปัจจุบัน เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถที่จะโต้แย้งต่อหลักการของอิสลาม และหลักฐานต่างๆที่แน่นหนาและชัดเจน
การทำร้ายท่านเราะซูล
เมื่อพวกกุเรชเห็นว่าท่านนะบีมุฮัมมัด ยืนหยัดในการเผยแพร่ศาสนาอย่างเข้มแข็ง มีผู้เข้ารับอิสลามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่เพียงแต่ดูถูกเยาะเย้ยเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขายังทำร้ายท่านโดยเฉพาะเมื่อหลังจากที่อบูฏอลิบ ลุงของท่านที่ให้การปกป้องและคุ้มครองได้เสียชีวิตไป
ครั้งหนึ่งในขณะที่ท่านนะบี กำลังยืนละหมาดอยู่ที่หน้าก๊ะอ์บ๊ะฮ์ ซึ่งมีบรรดาพวกกุเรชจ้องมองอยู่ คนหนึ่งได้พูดขึ้นว่า :
มีใครบ้างไหม ที่กล้าไปที่ลูกอูฐที่ตายแล้ว แล้วเอาถุงน้ำคร่ำ รก และเลือดของมัน ไปวางไว้บนหลังของมุฮัมมัด ในขณะที่เขากำลังสุญูดอุกบะฮ์ลูกของอบี มุอีต จึงลุกขึ้นไปเอาสิ่งสกปรกนั้นวางไว้บนตัวของท่านเราะซูล ในขณะที่กำลังสุญูดอยู่ พวกกุเรชต่างหัวเราะชอบใจ บางคนถึงกับล้มทับกัน เมื่อฟาฏิมะฮ์บุตรสาวของท่านได้ทราบ จึงรีบไปนำสิ่งสกปรกเหล่านั้นออกจากบิดาของนาง พร้อมกับด่าว่าพวกกุเรช แต่ท่านเราะซูล ยังคงทำละมาดต่อไปจนเสร็จ เมื่อเสร็จจากการทำละหมาดท่านได้หันไปทางพวกกุเรช และขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ให้ลงโทษพวกกุเรชว่า :
ข้าแต่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ขอพระองค์ทรงจัดการกับพวกกุเรชด้วยเถิด ข้าแต่อัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลา ขอพระองค์ทรงจัดการกับพวกกุเรชด้วยเถิด ข้าแต่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ขอพระองค์ทรงจัดการกับพวกกุเรชด้วยเถิด
และท่านได้กล่าวถึงชื่อบรรดาหัวโจก ท่านได้วิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ให้ทรงจัดการพวกนั้นด้วย ฉะนั้นบรรดาผู้ที่ถูกระบุชื่อจึงไม่มีผู้ใดรอดชีวิต และได้พบกับความพินาศในสมรภูมิบัดร(*1*)
อบู ญะฮ์ล ได้สาบานที่จะบีบคอท่านนะบี มุฮัมมัด ถ้าเขาเห็นท่านนะบีละหมาด ครั้นเมื่อท่านนะบี ออกมาละหมาด อบู ญะฮ์ล จึงได้สาวเท้าเข้าไปเพื่อจะทำตามที่ได้ลั่นวาจาไว้ แต่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงขัดขวาง โดยให้มีสิ่งมาขวางกั้นเพื่อไม่ให้สามารถทำร้ายท่านนะบีได้ อบู ญะฮ์ล มองเห็นสนามเพลาะที่มีไฟลุกโชติช่วงซึ่งไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ จากนั้นเขาจึงหนีกลับไปด้วยความหวาดกลัว
ที่ อัลกะอ์บะฮ์ อุกบะฮ บิน อบีมุอี๊ฏ ต้องผินหลังหนีไป ขณะที่เขาจับบ่าของท่านเราะซูลุลลอฮ์ แล้วใช้ผ้ารัดคอท่านและขันเชนาะอย่างแรง จนกระทั่ง ท่านอบูบักร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เข้ามาช่วยเหลือและผลักอุกบะฮ์ออกไป ท่านอบูบักร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า :
(( أتقتلون رجلا أن يقول ربي الله))
เจ้าถึงกับจะฆ่าชายคนหนึ่งเพียงเพราะเขากล่าวว่า อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เป็นพระเจ้าของฉัน กระนั้นหรือ ? (*2*)
ท่านนะบี โดนทำร้ายจากผู้หญิง ดังเช่น ภรรยาของอบีละฮับได้นำสิ่งปฏิกูลและหนามแหลมวางไว้ตามทางที่ท่านนะบี ใช้สัญจรไปมา ดังนั้น จึงมีดำรัสของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ว่า :และภรรยาของเขาด้วย โดยที่นางเป็นผู้แบกฟืน
ที่คอของนางมีเชือกที่ถักด้วยใยอินทผลัมคล้องอยู่ เพื่อดึงสู่นรกญะฮันนัม
(อัลมะซัด 111: 4-5)
นี่คือบางส่วนที่ท่านนะบี ได้ถูกกระทำเพียงเพราะทำหน้าที่เผยแพร่เชิญชวน ตามที่พระเจ้าของท่านทรงมีบัญชา
การกดขี่ข่มเหง สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย แก่ผู้ที่ดำเนินตาม
ผู้ที่ปฏิบัติตามท่านนะบีมุฮัมมัด ต้องพบกับการทำร้ายและทำทารุณกรรมอย่างรุนแรงจากพวกกุเรชเพื่อยับยั้งผู้คน และหยุดยั้งการดำเนินการของศาสนาอิสลาม
ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนิ อุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้อธิบายถึงสภาพการณ์ของคนมุสลิมที่ได้ดำรงค์ชีวิตอยู่ในระยะเริ่มแรกของอิสลามว่า :
ตอนนั้นอิสลามมีจำนวนน้อย ผู้คนถูกทดสอบในเรื่องศาสนาของเขา กล่าวคือไม่ถูกฆ่า ก็ถูกทรมาน (*3*)
บรรดาผู้อ่อนแอที่ไม่มีพวกพ้อง หรือเส้นสายในตระกูลใหญ่พอที่จะช่วยปกป้องคุ้มกันให้ จะต้องประสบกับการทรมานอย่างแสนสาหัสมากกว่าคนอื่นๆ วิธีการที่ใช้ คือ การเฆี่ยนตี จับตัวไปกักขัง มัดไว้กลางแจ้ง นอนบนพื้นทรายยามแดดร้อนจัดเป็นเวลานาน พร้อมกับใช้หินหนักก้อนใหญ่วางทับไว้บนหน้าอก หรือให้ใส่เสื้อเกราะที่ทำมาจากเหล็กและนอนตากแดดที่กำลังร้อนจัด และยังให้พวกเด็กๆลากไปตามถนนตามตรอกซอกซอยต่างๆเพื่อเป็นการประจาน จึงทำให้บางคนถึงกับตาบอดเนื่องมาจากการถูกทรมานถูกทำร้ายอย่างรุนแรง ดังเช่น ซุนัยเราะฮ์ รอฎิยัลลอฮุอันฮา และบางคนได้สิ้นชีวิตลง เช่น สุมัยยะฮ์ รอฎิยัลลอฮุอันฮา ผู้เป็นมารดาของอัมม๊าร บิน ยาซิร บางคนได้รับความทุกข์ระทมอันเนื่องมาจากถูกทำร้ายอย่างรุนแรง ถึงกับต้องยอมทำตามสิ่งที่พวกกุเรชต้องการ โดยการแสดงอาการโกรธแค้นและเปล่งวาจาปฏิเสธศรัทธาต่อท่านนะบีมุฮัมมัด เพื่อให้หลุดพ้นจากการถูกทรมาน
อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ประทานอัลกุรอานลงมาให้พวกเขากระทำเช่นนั้นได้ ตราบใดที่หัวใจยังสงบมั่นคงอยู่กับการศรัทธา ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า :
ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ภายหลังจากที่เขาได้ศรัทธาแล้ว (เขาก็จะถูกอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลากริ้ว) เว้นแต่ผู้ที่ถูกบีบบังคับทั้งๆที่หัวใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยการศรัทธา แต่ทว่าผู้ใดที่ปฏิเสธศรัทธาด้วยความเต็มใจ ดังนั้น ความกริ้วโกรธจากอัลลอฮ์ จะประสบกับพวกเขาและพวกเขาจะถูกลงโทษอย่างมหันต์ ( อันนะฮ์ล 16 : 106 )
มุสลิมบางคนถูกผู้ปฏิเสธที่เป็นญาติใกล้ชิดบีบคั้นทางจิตใจอย่างรุนแรง ดังเช่นที่ มารดาของ ซะอ์ด บิน อบีวักก็อศ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ นางได้สาบานว่า จะไม่พูด จะไม่ยอมกิน ไม่ยอมดื่ม จนกว่าท่านซะอ์ดจะปฏิเสธศาสนาอิสลาม นางกล่าวว่า :เจ้าอ้างว่า อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา สั่งสอนเจ้าให้เชื่อฟังพ่อแม่ของเจ้า และฉันก็เป็นแม่ของเจ้า ฉันสั่งให้เจ้าเลิกนับถือศาสนาอิสลามเสีย!
นางเป็นลมสลบไปอันเนื่องจากการไม่ยอมกินอาหารและไม่ยอมดื่มน้ำ ครั้นเมื่อนางถูกบีบบังคับให้ดื่มน้ำ นางจึงอาละวาดทำร้ายซะอ์ด จนทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ
อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จึงประทานอายะฮฺนี้ลงมาคือ :
และเรา ( อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ได้สั่งเสียมนุษย์ให้ทำดีต่อบิดามารดาของเขา และถ้าทั้งสองบีบบังคับขู่เข็ญเจ้าเพื่อให้ตั้งภาคีต่อข้า( อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา )ในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ ดังนั้นก็จงอย่าปฏิบัติตามเขาทั้งสอง ยังข้าคือการกลับไปของพวกเจ้า แล้วข้าจะแจ้งให้พวกเจ้ารู้ถึงสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้ ( อัลอังกะบู๊ต 29 : 8 )
พวกกุเรชต้องการให้อบีฎอลิบซึ่งเป็นลุงของท่านเราะซูล ยับยั้งท่านให้ยุติการปฏิเสธบรรดาพระเจ้าของพวกเขา และหยุดวิพากษ์วิจารณ์ประเพณีที่มีมาแบบดั้งเดิม อบูฏอลิบจึงเรียกท่านนะบี มาอยู่ต่อหน้าตัวแทนของพวกกุเรช และเรียกร้องให้ท่านนะบี ยุติการกระทำนั้น
ท่านเราะซูล จึงมองไปที่ดวงอาทิตย์ พลางกล่าวว่า :
พวกท่านมองเห็นดวงอาทิตย์นี้หรือไม่?
พวกกุเรชกล่าวว่า :
ใช่แล้ว เราเห็น
ท่านนะบี จึงพูดว่า :
ดังนั้น ฉันไม่สามารถละทิ้งการทำหน้าที่ของฉันได้ เหมือนกับที่พวกท่านไม่สามารถจะดับแสงสว่างของดวงอาทิตย์นี้ได้ หรือไม่ ให้พวกท่านเอาแสงสว่างหรือความร้อนออกจากดวงอาทิตย์เสียก่อน! (ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้) ซึ่งยังจะง่ายเสียกว่าที่จะให้ฉันละทิ้งการทำหน้าที่ของฉันเสียอีก (*4*)
การเจรจาต่อรอง
เมื่อพวกกุเรชเห็นว่าการทำทารุณกรรมไม่สามารถใช้กับท่านนะบีมุฮัมมัด และบรรดาซอฮาบะฮ์ได้ พวกเขาจึงเปลี่ยนมาเป็นการเจรจาต่อรอง โดยขอให้แต่ละฝ่ายเคารพสักการะพระเจ้าของแต่ละฝ่ายอย่างละหนึ่งปี ด้วยเหตุนี้อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จึงประทานวะฮีย์ซูเราะฮ์ อัลกาฟิรูน ลงมา (*5*)
มีรายงานระบุว่า พวกกุเรชได้ส่ง อุตบะฮ์ บิน ร่อบีอะฮ์ มายื่นข้อเสนอและผลประโยชน์ในโลกดุนยาเพื่อจูงใจท่านนะบี โดยกล่าวว่า :
หากท่านต้องการทรัพย์ พวกเราก็จะรวบรวมกันมามอบให้จนกระทั่งท่านเป็นคนที่มั่งคั่งที่สุดในหมู่พวกเรา หากว่าท่านต้องการเป็นกษัตริย์ มีชื่อเสียง เกียรติยศ พวกเราก็จะมอบตำแหน่งผู้นำให้กับท่าน.....ท่านเราะซูล จึงปล่อยให้อุตบะฮ์พูดจนจบ แล้วท่านจึงอ่านตอนกลางของซูเราะฮ์ฟุซซิลัต จนกระทั่งถึงอายะฮ์ ที่ว่า :
ดังนั้น หากพวกเขาผินหลังให้ (มุฮัมมัด) ก็จงกล่าวเถิดว่า ฉันขอเตือนพวกท่านให้นึกถึงความหายนะจากการที่จะมีฟ้าผ่าลงมา ดังเช่นที่พวกอ๊าดและซะมู๊ดได้เคยประสบกันมาแล้ว (ฟุซซิลัตอายะฮ์ 41 : 13)
อุตบะฮ์เกิดความหวาดกลัว และรีบบอกให้ท่านนะบี หยุดอ่าน แล้วเขาจึงรีบเดินกลับไป (*6*)
ความพยายามที่จะเห็นปาฏิหาริย์
พวกกุเรชได้บีบคั้นท่านเราะซูล ให้แสดงปาฏิหารย์ด้วยการเปลี่ยนภูเขาในมักกะฮ์ ให้เป็นทองคำ และทำให้ทะเลทรายกลายเป็นลำธารขึ้นมา และพวกเขาได้ไปขอความช่วยเหลือจากพวกยิว ให้ถามท่านนะบีเกี่ยวกับปัญหาต่าง จนทำให้ท่านอึดอัดใจ และอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงตอบโต้พวกเขา ด้วยกับอายาตต่างๆ ดังเช่นดำรัสของพระองค์ ที่ว่า :
และไม่มีสิ่งใดยับยั้งเรา (อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ) ในการที่เราจะส่งบรรดาสัญญาณต่างๆลงมานอกจากบรรดาคนในสมัยก่อนๆได้พากันปฏิเสธ และเราได้ให้อูฐตัวเมียเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งแก่พวกซะมู๊ด แต่แล้วพวกเขาได้กระทำทารุณกรรมต่อมัน และเรา(อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) มิได้ส่งบรรดาสัญญาณต่างๆมาเพื่ออื่นใดนอกจากเพื่อเป็นการเตือนสำทับเท่านั้น" ( อัลอิสร็ออ์ 17 : 59 )
และพวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับวิญญาน จงกล่าวเถิด เรื่องวิญญานนั้น เป็นไปไปตามพระบัญชาของพระเจ้าของฉัน และพวกท่านจะไม่ได้รับความรู้ใดๆ ว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น" ( อัลอิสร็ออ์ 85 )
เผ่ากุเรชตัดความสัมพันธ์กับตระกูลบนีฮาชิม
เมื่อพวกกุเรชเห็นว่าวิธีการต่างๆที่ใช้กับท่านนะบีมุฮัมมัด นั้นไม่ได้ผล และไม่สามารถหยุดยั้งการทำหน้าที่เชิญชวนผู้คนเข้ารับอิสลามได้ แต่กลับมีผู้คนเข้ารับอิสลามเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่ท่านฮัมซะฮ์ ผู้เป็นลุงของท่านนะบี และท่านอุมัร บิน ค็อฏฏ็อบ رضي الله عنهما เข้ารับอิสลาม ยิ่งเป็นการเพิ่มพลังและเกียรติภูมิให้กับบรรดามุสลิมมากยิ่งขึ้น
เมื่อพวกกุเรชเห็นดังนั้น จึงคิดหาหนทางที่รุนแรงยิ่งขึ้นอีก พวกเขาจึงคิดที่จะฆ่าท่านนะบี แต่ว่า อบูฏอลิบ ผู้เป็นลุงของท่าน ตลอดจนกลุ่มชนจากตระกูลบนีฮาชิม และตระกูลอัลมุฏฏอลิบ คงไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นได้เป็นอันขาด พวกเขาจึงเรียกประชุมชาวกุเรชทั้งหมดโดยมีเผ่ากินานะฮ์ร่วมอยู่ด้วย เพื่อทำการตัดความสัมพันธ์กับตระกูล บนีฮาชิม และตระกูล อัลมุฏฏอลิบ ด้วยการไม่แต่งงาน ไม่ค้าขาย และไม่พูดจาด้วย จนกว่าจะยอมส่งท่านนะบีมุฮัมมัด มาให้พวกเขาฆ่า อบูฏอลิบ ตระกูลบนีฮาชิม และตระกูลอัลมุฏฏอลิบ ที่มีทั้งมุสลิม และผู้ปฏิเสธ จึงต้องเข้าไปอยู่ในบริเวณ شعب عامر ที่ถูกปิดล้อมกักกันบริเวณอยู่นานถึงสองหรือสามปี สร้างความลำบาก ทุกข์ยาก หิวโหย และจะออกไปทำธุระ ไปฏอวาฟ ณ บัยตุลลอฮ์ หรือออกไปตลาดเมื่อมีกองคาราวานสินค้ามาถึงเพื่อขอปันส่วนอาหารก็ไม่ได้
จนในที่สุดบรรดาผู้อาวุโสชาวกุเรชห้าคนต่างรู้สึกเวทนาสงสาร จึงประชุมกันและลงมติประกาศยกเลิกพันธสัญญาข้อตกลงที่กดขี่ข่มเหง และได้ฉีกพันธสัญญาที่ได้ลงนามกันไว้นั้นเสีย จึงทำให้ท่านเราะซูล ตระกูล บนีฮาชิม และตระกูล อัลมุฏฏอลิบ หลุดพ้นจากการปิดล้อมดังกล่าว และการปิดล้อมนั้นกลับยิ่งทำให้ท่านนะบี ยืนหยัดที่จะเดินหน้าทำการเผยแพร่อิสลามต่อไป (*7*)
ดร.อัดุลลอฮฺ อิบนุ อับดิรเราะฮ์มาน อัลค็อรอาน
...ประเด็นต่างๆในการศึกษาชีวประวัตินะบีมุฮัมมัด
- ดู ซอฮี๊ฮุล บุคอรีย์ กิตาบุซซอลาฮฺ และ ซอฮี๊ฮฺ มุสลิม เล่มที่ 3 หน้า 1418 1420
- ดู อัลมุซอนนัฟ ของ อิบนิ อบี ชัยบะฮฺ เล่มที่ 14 หน้า 297
- ดู:ซอฮี้ฮุลบุคอรีย์ กิตาบุตตัฟซี๊รฺ บท และจงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าฟิตนะฮฺ จะหมดสิ้นไป หน้า 30
- ดู: อิบนิ อิสฮาก ใน อัซซิยัร อัลฆอซีย์ และท่านอัล อัลบานีย์ กล่าวว่า ริวายะฮฺนี้ ซ่อฮี้ฮฺ ดู ซิลซิละฮฺ อัลอะฮาดีซุซ ซอฮีฮะฮฺ เล่มที่ 1 หน้า 147
- ดู: ตัฟซีร อิบนิ กะซี๊ร เล่มที่ 8หน้า 527
- ดู อัลมุซอนนัฟ ของอิบนิ อบี ชัยบะฮฺ เล่มที่ 14 หน้า 295 มุสนัด ของอบูยุอฺลา เล่มที่ 3 หน้า 349 อัลมุสตัดร็อก ของอัลฮากิม เล่มที่ 2 หน้า 253 อัซซะฮะบีย์ ถือว่า ซอฮี๊ฮฺ และอิบนิ กะซี๊ร ระบุไว้ใน ตัฟซี๊รของท่านในเล่มที่ 7 หน้า 151
- นำเสนอโดย อิมาม อัลบุคอรีย์ อิมาม มุสลิม และซีเราะฮฺ อิบนิ ฮิชาม เล่มที่หนึ่ง หน้า 371