ความพยายามที่จะต่อต้านการเผยแพร่ของท่านนะบีมุฮัมหมัด
  จำนวนคนเข้าชม  15677

 

วิธีการต่าง ๆ ในการต่อต้านการเผยแพร่อิสลามของท่านนบีมุฮัมหมัด

 

การดูถูก เย้ยหยัน

            พวกมุชริกีนได้เยาะเย้ยท่านนะบี และผู้ที่ปฏิบัติตามท่าน และสิ่งที่ถูกประทานลงมาให้แก่ท่าน  พวกเขากล่าวว่า :

          “พระองค์อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่พบใครอีกแล้วหรือ ถึงได้แต่งตั้งท่านเป็นนะบี ทั้งๆ ที่ในพวกกุเรชนั้นมีคนที่มีเกียรติ และยิ่งใหญ่กว่าท่านอีกมาก”

อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ในอัลกุรอาน ความว่า :

   “และพวกเขากล่าวว่า ทำไมอัลกุรอานนี้จึงไม่ถูกประทานลงมาให้แก่ชายผู้มีความสำคัญแห่งสองเมืองนี้” (อัซซุครุฟ 43:31)

          นอกเหนือไปจากนั้น พวกเขาไม่ยอมเรียกชื่อของท่านนะบีตรงๆ แต่จะเรียกท่านด้วยฉายาที่บ่งบอกถึงการเยาะเย้ย เช่น เรียกท่านว่า  الصابي ผู้เคารพดวงดาว บ้าง مذمم   ผู้ถูกตำหนิบ้าง
พวกเขายังเย้ยหยันต่อผู้ที่ปฏิบัติตามท่านว่า :

          “จากพวกของเรานั้นไม่มีใครตามเขา นอกจากพวกนี้หรือ?” 

          และยังต่อรองว่า :

          “มุฮัมมัด ถ้าเจ้าต้องการให้พวกเราเชื่อ และปฏิบัติตามเจ้าแล้ว เจ้าจะต้องขับไล่พวกนี้ออกไปให้พ้นจากท่าน” 

          พวกเขากล่าวหาท่านนะบี ต่างๆนานา เช่น กล่าวว่าเป็นนักเวทย์มนต์ หมอผี คนบ้า คนโกหก แต่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้โต้ตอบในทุกข้อกล่าวหา ว่า ท่านนะบี นั้นบริสุทธิ์จากลักษณะต่างๆที่พวกเขากล่าวหาโดยสิ้นเชิง

          การดูถูกเยาะเย้ย การโกหก ถือเป็นอาวุธที่ศัตรูของอิสลาม ใช้ในการบิดเบือนภาพลักษณ์ของอิสลามและมุสลิม โดยใช้สื่อต่างๆ ดังเช่นที่เห็นในปัจจุบัน เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถที่จะโต้แย้งต่อหลักการของอิสลาม และหลักฐานต่างๆที่แน่นหนาและชัดเจน


การทำร้ายท่านเราะซูล

            เมื่อพวกกุเรชเห็นว่าท่านนะบีมุฮัมมัด ยืนหยัดในการเผยแพร่ศาสนาอย่างเข้มแข็ง มีผู้เข้ารับอิสลามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่เพียงแต่ดูถูกเยาะเย้ยเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขายังทำร้ายท่านโดยเฉพาะเมื่อหลังจากที่อบูฏอลิบ ลุงของท่านที่ให้การปกป้องและคุ้มครองได้เสียชีวิตไป

          ครั้งหนึ่งในขณะที่ท่านนะบี กำลังยืนละหมาดอยู่ที่หน้าก๊ะอ์บ๊ะฮ์  ซึ่งมีบรรดาพวกกุเรชจ้องมองอยู่ คนหนึ่งได้พูดขึ้นว่า :
    
          “มีใครบ้างไหม ที่กล้าไปที่ลูกอูฐที่ตายแล้ว แล้วเอาถุงน้ำคร่ำ รก และเลือดของมัน ไปวางไว้บนหลังของมุฮัมมัด ในขณะที่เขากำลังสุญูด”

           อุกบะฮ์ลูกของอบี มุอีต จึงลุกขึ้นไปเอาสิ่งสกปรกนั้นวางไว้บนตัวของท่านเราะซูล  ในขณะที่กำลังสุญูดอยู่ พวกกุเรชต่างหัวเราะชอบใจ บางคนถึงกับล้มทับกัน เมื่อฟาฏิมะฮ์บุตรสาวของท่านได้ทราบ จึงรีบไปนำสิ่งสกปรกเหล่านั้นออกจากบิดาของนาง พร้อมกับด่าว่าพวกกุเรช แต่ท่านเราะซูล  ยังคงทำละมาดต่อไปจนเสร็จ เมื่อเสร็จจากการทำละหมาดท่านได้หันไปทางพวกกุเรช และขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  ให้ลงโทษพวกกุเรชว่า :

          ข้าแต่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ขอพระองค์ทรงจัดการกับพวกกุเรชด้วยเถิด ข้าแต่อัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลา ขอพระองค์ทรงจัดการกับพวกกุเรชด้วยเถิด  ข้าแต่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ขอพระองค์ทรงจัดการกับพวกกุเรชด้วยเถิด 

          และท่านได้กล่าวถึงชื่อบรรดาหัวโจก ท่านได้วิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ให้ทรงจัดการพวกนั้นด้วย ฉะนั้นบรรดาผู้ที่ถูกระบุชื่อจึงไม่มีผู้ใดรอดชีวิต และได้พบกับความพินาศในสมรภูมิบัดร(*1*) 

          อบู ญะฮ์ล ได้สาบานที่จะบีบคอท่านนะบี มุฮัมมัด ถ้าเขาเห็นท่านนะบีละหมาด ครั้นเมื่อท่านนะบี ออกมาละหมาด อบู ญะฮ์ล จึงได้สาวเท้าเข้าไปเพื่อจะทำตามที่ได้ลั่นวาจาไว้ แต่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงขัดขวาง โดยให้มีสิ่งมาขวางกั้นเพื่อไม่ให้สามารถทำร้ายท่านนะบีได้  อบู ญะฮ์ล มองเห็นสนามเพลาะที่มีไฟลุกโชติช่วงซึ่งไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ จากนั้นเขาจึงหนีกลับไปด้วยความหวาดกลัว

          ที่ “อัลกะอ์บะฮ์” อุกบะฮ บิน อบีมุอี๊ฏ ต้องผินหลังหนีไป ขณะที่เขาจับบ่าของท่านเราะซูลุลลอฮ์ แล้วใช้ผ้ารัดคอท่านและขันเชนาะอย่างแรง จนกระทั่ง ท่านอบูบักร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เข้ามาช่วยเหลือและผลักอุกบะฮ์ออกไป ท่านอบูบักร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า :

          (( أتقتلون رجلا أن يقول ربي الله))

          “เจ้าถึงกับจะฆ่าชายคนหนึ่งเพียงเพราะเขากล่าวว่า  อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เป็นพระเจ้าของฉัน กระนั้นหรือ ?” (*2*) 
    
          ท่านนะบี โดนทำร้ายจากผู้หญิง ดังเช่น ภรรยาของอบีละฮับได้นำสิ่งปฏิกูลและหนามแหลมวางไว้ตามทางที่ท่านนะบี ใช้สัญจรไปมา ดังนั้น จึงมีดำรัสของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ว่า :

และภรรยาของเขาด้วย โดยที่นางเป็นผู้แบกฟืน

          ที่คอของนางมีเชือกที่ถักด้วยใยอินทผลัมคล้องอยู่ เพื่อดึงสู่นรกญะฮันนัม

                               (อัลมะซัด 111: 4-5)                                                              

          นี่คือบางส่วนที่ท่านนะบี ได้ถูกกระทำเพียงเพราะทำหน้าที่เผยแพร่เชิญชวน ตามที่พระเจ้าของท่านทรงมีบัญชา

การกดขี่ข่มเหง สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย แก่ผู้ที่ดำเนินตาม

          ผู้ที่ปฏิบัติตามท่านนะบีมุฮัมมัด ต้องพบกับการทำร้ายและทำทารุณกรรมอย่างรุนแรงจากพวกกุเรชเพื่อยับยั้งผู้คน และหยุดยั้งการดำเนินการของศาสนาอิสลาม

          ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนิ อุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้อธิบายถึงสภาพการณ์ของคนมุสลิมที่ได้ดำรงค์ชีวิตอยู่ในระยะเริ่มแรกของอิสลามว่า :

          “ตอนนั้นอิสลามมีจำนวนน้อย ผู้คนถูกทดสอบในเรื่องศาสนาของเขา กล่าวคือไม่ถูกฆ่า ก็ถูกทรมาน”  (*3*)   

          บรรดาผู้อ่อนแอที่ไม่มีพวกพ้อง หรือเส้นสายในตระกูลใหญ่พอที่จะช่วยปกป้องคุ้มกันให้ จะต้องประสบกับการทรมานอย่างแสนสาหัสมากกว่าคนอื่นๆ วิธีการที่ใช้ คือ การเฆี่ยนตี จับตัวไปกักขัง มัดไว้กลางแจ้ง นอนบนพื้นทรายยามแดดร้อนจัดเป็นเวลานาน พร้อมกับใช้หินหนักก้อนใหญ่วางทับไว้บนหน้าอก หรือให้ใส่เสื้อเกราะที่ทำมาจากเหล็กและนอนตากแดดที่กำลังร้อนจัด และยังให้พวกเด็กๆลากไปตามถนนตามตรอกซอกซอยต่างๆเพื่อเป็นการประจาน จึงทำให้บางคนถึงกับตาบอดเนื่องมาจากการถูกทรมานถูกทำร้ายอย่างรุนแรง ดังเช่น ซุนัยเราะฮ์ รอฎิยัลลอฮุอันฮา และบางคนได้สิ้นชีวิตลง เช่น สุมัยยะฮ์ รอฎิยัลลอฮุอันฮา ผู้เป็นมารดาของอัมม๊าร บิน ยาซิร บางคนได้รับความทุกข์ระทมอันเนื่องมาจากถูกทำร้ายอย่างรุนแรง ถึงกับต้องยอมทำตามสิ่งที่พวกกุเรชต้องการ โดยการแสดงอาการโกรธแค้นและเปล่งวาจาปฏิเสธศรัทธาต่อท่านนะบีมุฮัมมัด เพื่อให้หลุดพ้นจากการถูกทรมาน 

          อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ประทานอัลกุรอานลงมาให้พวกเขากระทำเช่นนั้นได้ ตราบใดที่หัวใจยังสงบมั่นคงอยู่กับการศรัทธา ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า :

          “ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ภายหลังจากที่เขาได้ศรัทธาแล้ว (เขาก็จะถูกอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลากริ้ว) เว้นแต่ผู้ที่ถูกบีบบังคับทั้งๆที่หัวใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยการศรัทธา แต่ทว่าผู้ใดที่ปฏิเสธศรัทธาด้วยความเต็มใจ ดังนั้น ความกริ้วโกรธจากอัลลอฮ์ จะประสบกับพวกเขาและพวกเขาจะถูกลงโทษอย่างมหันต์” ( อันนะฮ์ล 16 : 106 )
 
          มุสลิมบางคนถูกผู้ปฏิเสธที่เป็นญาติใกล้ชิดบีบคั้นทางจิตใจอย่างรุนแรง ดังเช่นที่ มารดาของ ซะอ์ด บิน อบีวักก็อศ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ  นางได้สาบานว่า  จะไม่พูด จะไม่ยอมกิน ไม่ยอมดื่ม จนกว่าท่านซะอ์ดจะปฏิเสธศาสนาอิสลาม นางกล่าวว่า :

          “เจ้าอ้างว่า อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา สั่งสอนเจ้าให้เชื่อฟังพ่อแม่ของเจ้า และฉันก็เป็นแม่ของเจ้า ฉันสั่งให้เจ้าเลิกนับถือศาสนาอิสลามเสีย!”

          นางเป็นลมสลบไปอันเนื่องจากการไม่ยอมกินอาหารและไม่ยอมดื่มน้ำ ครั้นเมื่อนางถูกบีบบังคับให้ดื่มน้ำ นางจึงอาละวาดทำร้ายซะอ์ด จนทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ  

อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จึงประทานอายะฮฺนี้ลงมาคือ :

          “และเรา ( อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ได้สั่งเสียมนุษย์ให้ทำดีต่อบิดามารดาของเขา และถ้าทั้งสองบีบบังคับขู่เข็ญเจ้าเพื่อให้ตั้งภาคีต่อข้า( อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา )ในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ ดังนั้นก็จงอย่าปฏิบัติตามเขาทั้งสอง ยังข้าคือการกลับไปของพวกเจ้า แล้วข้าจะแจ้งให้พวกเจ้ารู้ถึงสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้” ( อัลอังกะบู๊ต 29 : 8 )

          พวกกุเรชต้องการให้อบีฎอลิบซึ่งเป็นลุงของท่านเราะซูล ยับยั้งท่านให้ยุติการปฏิเสธบรรดาพระเจ้าของพวกเขา และหยุดวิพากษ์วิจารณ์ประเพณีที่มีมาแบบดั้งเดิม อบูฏอลิบจึงเรียกท่านนะบี มาอยู่ต่อหน้าตัวแทนของพวกกุเรช และเรียกร้องให้ท่านนะบี ยุติการกระทำนั้น 

ท่านเราะซูล จึงมองไปที่ดวงอาทิตย์  พลางกล่าวว่า :

          “พวกท่านมองเห็นดวงอาทิตย์นี้หรือไม่?”  

พวกกุเรชกล่าวว่า  :

          “ใช่แล้ว เราเห็น ”   

ท่านนะบี จึงพูดว่า :

          “ดังนั้น ฉันไม่สามารถละทิ้งการทำหน้าที่ของฉันได้ เหมือนกับที่พวกท่านไม่สามารถจะดับแสงสว่างของดวงอาทิตย์นี้ได้ หรือไม่ ให้พวกท่านเอาแสงสว่างหรือความร้อนออกจากดวงอาทิตย์เสียก่อน! (ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้)  ซึ่งยังจะง่ายเสียกว่าที่จะให้ฉันละทิ้งการทำหน้าที่ของฉันเสียอีก”  (*4*) 


การเจรจาต่อรอง

         เมื่อพวกกุเรชเห็นว่าการทำทารุณกรรมไม่สามารถใช้กับท่านนะบีมุฮัมมัด  และบรรดาซอฮาบะฮ์ได้ พวกเขาจึงเปลี่ยนมาเป็นการเจรจาต่อรอง โดยขอให้แต่ละฝ่ายเคารพสักการะพระเจ้าของแต่ละฝ่ายอย่างละหนึ่งปี ด้วยเหตุนี้อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา   จึงประทานวะฮีย์ซูเราะฮ์ อัลกาฟิรูน ลงมา (*5*) 
     
          มีรายงานระบุว่า พวกกุเรชได้ส่ง อุตบะฮ์ บิน ร่อบีอะฮ์ มายื่นข้อเสนอและผลประโยชน์ในโลกดุนยาเพื่อจูงใจท่านนะบี โดยกล่าวว่า :
 
          “หากท่านต้องการทรัพย์ พวกเราก็จะรวบรวมกันมามอบให้จนกระทั่งท่านเป็นคนที่มั่งคั่งที่สุดในหมู่พวกเรา หากว่าท่านต้องการเป็นกษัตริย์ มีชื่อเสียง เกียรติยศ พวกเราก็จะมอบตำแหน่งผู้นำให้กับท่าน.....”

ท่านเราะซูล จึงปล่อยให้อุตบะฮ์พูดจนจบ แล้วท่านจึงอ่านตอนกลางของซูเราะฮ์ฟุซซิลัต จนกระทั่งถึงอายะฮ์ ที่ว่า :

          “ดังนั้น หากพวกเขาผินหลังให้ (มุฮัมมัด) ก็จงกล่าวเถิดว่า ฉันขอเตือนพวกท่านให้นึกถึงความหายนะจากการที่จะมีฟ้าผ่าลงมา ดังเช่นที่พวกอ๊าดและซะมู๊ดได้เคยประสบกันมาแล้ว” (ฟุซซิลัตอายะฮ์ 41 : 13)
                                                                                                                                                                 
อุตบะฮ์เกิดความหวาดกลัว และรีบบอกให้ท่านนะบี หยุดอ่าน แล้วเขาจึงรีบเดินกลับไป (*6*) 


ความพยายามที่จะเห็นปาฏิหาริย์

          พวกกุเรชได้บีบคั้นท่านเราะซูล ให้แสดงปาฏิหารย์ด้วยการเปลี่ยนภูเขาในมักกะฮ์ ให้เป็นทองคำ และทำให้ทะเลทรายกลายเป็นลำธารขึ้นมา และพวกเขาได้ไปขอความช่วยเหลือจากพวกยิว ให้ถามท่านนะบีเกี่ยวกับปัญหาต่าง จนทำให้ท่านอึดอัดใจ และอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงตอบโต้พวกเขา ด้วยกับอายาตต่างๆ ดังเช่นดำรัสของพระองค์ ที่ว่า :    

          “และไม่มีสิ่งใดยับยั้งเรา (อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ) ในการที่เราจะส่งบรรดาสัญญาณต่างๆลงมานอกจากบรรดาคนในสมัยก่อนๆได้พากันปฏิเสธ และเราได้ให้อูฐตัวเมียเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งแก่พวกซะมู๊ด แต่แล้วพวกเขาได้กระทำทารุณกรรมต่อมัน และเรา(อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) มิได้ส่งบรรดาสัญญาณต่างๆมาเพื่ออื่นใดนอกจากเพื่อเป็นการเตือนสำทับเท่านั้น" ( อัลอิสร็ออ์ 17 : 59 )

          “และพวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับวิญญาน จงกล่าวเถิด เรื่องวิญญานนั้น เป็นไปไปตามพระบัญชาของพระเจ้าของฉัน และพวกท่านจะไม่ได้รับความรู้ใดๆ ว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น" ( อัลอิสร็ออ์ 85 )


เผ่ากุเรชตัดความสัมพันธ์กับตระกูลบนีฮาชิม

           เมื่อพวกกุเรชเห็นว่าวิธีการต่างๆที่ใช้กับท่านนะบีมุฮัมมัด นั้นไม่ได้ผล และไม่สามารถหยุดยั้งการทำหน้าที่เชิญชวนผู้คนเข้ารับอิสลามได้  แต่กลับมีผู้คนเข้ารับอิสลามเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่ท่านฮัมซะฮ์ ผู้เป็นลุงของท่านนะบี และท่านอุมัร บิน ค็อฏฏ็อบ رضي الله عنهما เข้ารับอิสลาม ยิ่งเป็นการเพิ่มพลังและเกียรติภูมิให้กับบรรดามุสลิมมากยิ่งขึ้น

          เมื่อพวกกุเรชเห็นดังนั้น จึงคิดหาหนทางที่รุนแรงยิ่งขึ้นอีก พวกเขาจึงคิดที่จะฆ่าท่านนะบี แต่ว่า อบูฏอลิบ ผู้เป็นลุงของท่าน ตลอดจนกลุ่มชนจากตระกูลบนีฮาชิม และตระกูลอัลมุฏฏอลิบ คงไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นได้เป็นอันขาด พวกเขาจึงเรียกประชุมชาวกุเรชทั้งหมดโดยมีเผ่ากินานะฮ์ร่วมอยู่ด้วย เพื่อทำการตัดความสัมพันธ์กับตระกูล “บนีฮาชิม” และตระกูล “อัลมุฏฏอลิบ” ด้วยการไม่แต่งงาน ไม่ค้าขาย และไม่พูดจาด้วย จนกว่าจะยอมส่งท่านนะบีมุฮัมมัด มาให้พวกเขาฆ่า อบูฏอลิบ ตระกูลบนีฮาชิม และตระกูลอัลมุฏฏอลิบ ที่มีทั้งมุสลิม และผู้ปฏิเสธ จึงต้องเข้าไปอยู่ในบริเวณ  شعب عامر ที่ถูกปิดล้อมกักกันบริเวณอยู่นานถึงสองหรือสามปี สร้างความลำบาก ทุกข์ยาก หิวโหย และจะออกไปทำธุระ  ไปฏอวาฟ ณ  บัยตุลลอฮ์   หรือออกไปตลาดเมื่อมีกองคาราวานสินค้ามาถึงเพื่อขอปันส่วนอาหารก็ไม่ได้

          จนในที่สุดบรรดาผู้อาวุโสชาวกุเรชห้าคนต่างรู้สึกเวทนาสงสาร จึงประชุมกันและลงมติประกาศยกเลิกพันธสัญญาข้อตกลงที่กดขี่ข่มเหง และได้ฉีกพันธสัญญาที่ได้ลงนามกันไว้นั้นเสีย จึงทำให้ท่านเราะซูล ตระกูล “บนีฮาชิม” และตระกูล “อัลมุฏฏอลิบ” หลุดพ้นจากการปิดล้อมดังกล่าว และการปิดล้อมนั้นกลับยิ่งทำให้ท่านนะบี ยืนหยัดที่จะเดินหน้าทำการเผยแพร่อิสลามต่อไป  (*7*) 


ดร.อัดุลลอฮฺ  อิบนุ อับดิรเราะฮ์มาน อัลค็อรอาน

 ...ประเด็นต่างๆในการศึกษาชีวประวัตินะบีมุฮัมมัด 


  1. ดู ซอฮี๊ฮุล บุคอรีย์ กิตาบุซซอลาฮฺ และ ซอฮี๊ฮฺ มุสลิม เล่มที่ 3 หน้า 1418 – 1420 
  2. ดู อัลมุซอนนัฟ ของ อิบนิ อบี ชัยบะฮฺ เล่มที่ 14 หน้า 297
  3. ดู:ซอฮี้ฮุลบุคอรีย์ กิตาบุตตัฟซี๊รฺ บท “ และจงสู้รบกับพวกเขา  จนกว่าฟิตนะฮฺ จะหมดสิ้นไป” หน้า 30
  4. ดู: อิบนิ อิสฮาก   ใน “ อัซซิยัร อัลฆอซีย์ ” และท่านอัล อัลบานีย์ กล่าวว่า ริวายะฮฺนี้ ซ่อฮี้ฮฺ  ดู ซิลซิละฮฺ อัลอะฮาดีซุซ ซอฮีฮะฮฺ เล่มที่ 1 หน้า 147
  5. ดู: ตัฟซีร อิบนิ กะซี๊ร เล่มที่ 8หน้า 527 
  6. ดู อัลมุซอนนัฟ ของอิบนิ อบี ชัยบะฮฺ เล่มที่ 14 หน้า 295  มุสนัด ของอบูยุอฺลา เล่มที่ 3 หน้า 349 อัลมุสตัดร็อก ของอัลฮากิม เล่มที่ 2 หน้า 253 อัซซะฮะบีย์ ถือว่า ซอฮี๊ฮฺ และอิบนิ กะซี๊ร ระบุไว้ใน ตัฟซี๊รของท่านในเล่มที่ 7 หน้า 151
  7. นำเสนอโดย อิมาม อัลบุคอรีย์ อิมาม มุสลิม และซีเราะฮฺ อิบนิ ฮิชาม เล่มที่หนึ่ง หน้า 371 


  8.