อับดุลลอฮ์ กับ อับดุนนะบีย์ 4
อับดุนนบีย์ : คุณอับดุลเลาะฮ์ คุณปฏิเสธการชะฟาอะฮ์ของท่านเราะซูล และไม่ยอมรับการขอ ชะฟาอะฮ์กระนั้นหรือ ?
อับดุลเลาะฮ์ : ฉันมิได้ปฏิเสธการ ชะฟาอะฮ์ และฉันไม่ยอมรับการขอ ชะฟาอะฮ์ ของตัวฉันเอง แต่ท่านนะบี คือผู้ที่ทำการขอชะฟาอะฮ์จากอัลลอฮ์ และฉันหวังในการชะฟาอะฮ์ของท่าน แต่การให้ ชะฟาอะฮ์ ทั้งหมดนั้นเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์เพียงองค์เดียวเท่านั้น
ดังที่พระองค์ตรัสว่า
( มุฮัมมัด ) จงกล่าวเถิดว่า การอนุญาตให้ได้ขอความช่วยเหลือ ( ชะฟาอะฮ์ ) ทั้งหมดนั้น เป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์ โดยสิ้นเชิง แต่เพียงพระองค์เดียว ( อัซซุมัร / 44 )
และการชะฟาอะฮ์จะเกิดขึ้นไม่ได้ นอกจากภายหลังจากที่อัลลอฮ์ทรงอนุมัติให้มีขึ้นเท่านั้น ดังที่อัลลอฮ์ ตรัสว่า
ผู้ใดเล่าคือผู้ที่จะอนุมัติให้มีการขอความช่วยเหลือ ( ชะฟาอะฮ์ ) ให้แก่ผู้ใดได้ ณ อัลลอฮ์ นอกจาก ด้วยพระอนุมัติของพระองค์เท่านั้น ( อัลบะกอเราะฮ์ / 255 )
และไม่มีใครจะได้รับความช่วยเหลือ นอกจากอัลลอฮ์ ทรงอนุมัติให้แก่เขาแล้วเท่านั้นเช่นกัน
ดังที่อัลลอฮ์ ตรัสว่า
พวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ขอความช่วยเหลือผู้ใด เว้นแต่ผู้ที่พระองค์ทรงพึงพอพระทัยให้เท่านั้น ( อัลอัมบิยาอ์ / 28 )
และพระองค์จะไม่ทรงพอพระทัย นอกจากผู้ที่ให้เอกภาพแด่พระองค์เท่านั้น ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า และผู้ใดแสวงหาศาสนาอื่นใด นอกจากศาสนาอิสลามแล้ว จะไม่มีวันถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในโลกอาคิเราะฮ์ เขาจะอยู่ในหมู่ผู้ที่ขาดทุน ( อาละอิมรอน / 85 )
การให้ ชะฟาอะฮ์ ทั้งมวลนั้นเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และจะไม่มี ชะฟาอะฮ์ ใดเกิดขึ้นได้ เว้นแต่ได้รับอนุมัติจากพระองค์ แม้กระทั่งผู้เป็นนะบี หรือใครอื่นก็ตาม และไม่มีผู้ใดจะได้รับอนุมัติ นอกจากผู้ที่ให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์ เพียงองค์เดียว จึงเป็นที่ชัดเจนว่า ชะฟาอะฮ์ทั้งหมดเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์เพียงองค์เดียว และฉันก็ต้องการได้รับการชะฟาอะฮ์จากพระองค์ด้วยเช่นกัน ข้าแต่อัลลอฮ์ ขอพระองค์อย่าได้หักห้ามการ ชะฟาอะฮ์ ของท่านนะบีไปจากข้าพระองค์เลย ข้าแต่อัลลอฮ์ ขอพระองค์ทรงให้ท่านนะบี ได้เป็นผู้ขอ ชะฟาอะฮ์ ให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
อับดุนนบีย์ : ตกลงเราเห็นพ้องกันที่ว่า ไม่อนุญาตให้ขอสิ่งใดจากผู้ที่มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ครอบครองสิ่งนั้น และท่านนะบี อัลลอฮ์ ทรงอนุญาตให้ทำการขอ ชะฟาอะฮ์ ได้ ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงประทานให้ เพราะพระองค์ทรงเป็นเจ้าของชะฟาอะฮ์นั้น ด้วยเหตุนี้ จึงอนุญาตให้ขอจากท่านนะบี จากสิ่งที่ท่านมิได้เป็นเจ้าของ แล้วไม่ถือว่าเป็นการตั้งภาคี (ชิริก) แต่ประการใดกระนั้นหรือ ! ?
อับดุลเลาะฮ์ : ถูกแล้ว เป็นคำพูดที่ถูกต้อง หากอัลลอฮ์มิทรงห้ามคุณไว้เช่นนั้น เพราะพระองค์อัลลอฮ์ ตรัสว่า
ดังนั้น พวกเจ้าอย่าได้วิงวอนขอต่อผู้ใดร่วมกับอัลลอฮ์เป็นอันขาด ( อัลญิน / 18 )
การขอให้ช่วยเหลือ (ชะฟาอะฮ์) นั้นเป็นดุอาอ์ และผู้ที่ประทานชะฟาอะฮ์ให้แก่ท่านนบี คือ อัลลอฮ์ ผู้ทรงห้ามคุณ มิให้ขอชะฟาอะฮ์จากผู้ใดนอกจากพระองค์ การขอ ชะฟาอะฮ์ นั้นจะให้แก่ท่านนะบี และ บรรดามลาอิกะฮ์ ได้รับ ชะฟาอะฮ์ บรรดา อัฟร็อฏ หมายถึง เด็ก ๆ ที่ตายไปก่อนจะบรรลุศาสนภาวะ ต่างได้รับสิทธิ์ในการขอ ชะฟาอะฮ์ จากอัลลอฮ์ บรรดา เอาว์ลิยาอ์ ได้รับสิทธิ์ในการขอ ชะฟาอะฮ์ จากอัลลอฮ์ แล้วคุณจะพูดได้หรือไม่ว่า แท้จริง อัลลอฮ์ทรงประทาน อัชชะฟาอะฮ์ ให้กับพวกเขา ดังนั้น จึงไปวอนขอต่อพวกเขาเหล่านั้นได้ ?
หากคุณบอกว่า ใช่การกล่าวเช่นนั้นเท่ากับว่า เป็นการกลับไปสักการะ ( อิบาดะฮ์ ) ต่อบรรดาคนดี ๆ คนซอลิฮ์ ซึ่งอัลลอฮ์ได้ทรงแจ้งไว้ในคัมภีร์ของพระองค์
และหากคุณบอกว่า ไม่ใช่ คำพูดของคุณก็เป็นเท็จ เชื่อไม่ได้ เพราะอัลลอฮ์ทรงประทาน การชะฟาอะฮ์ให้กับพวกเขา และฉันก็ขอสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงให้กับพวกเขาจากพวกเขาเท่านั้น
อับดุนนบีย์ : แต่ทว่าผมมิได้ให้สิ่งใดมาเป็นภาคี ( ชิริก ) กับอัลลอฮ์แต่อย่างใด เพียงแต่มุ่งสู่บรรดาคนซอลิฮ์ มิใช่เป็นการทำชิริกแต่อย่างใด !
อับดุลเลาะฮ์ : คุณรู้และยืนยันแล้วมิใช่หรือว่า แท้จริง อัลลอฮ์ทรงห้ามการทำ ชิริก ยิ่งกว่าห้าม การทำ ซินา และแท้จริง อัลลอฮ์จะไม่ทรงอภัยให้กับการทำ ชิริก ?
อับดุนนบีย์ : ถูกต้องแล้ว แน่นอน ผมยืนยันเช่นนั้น
อับดุลเลาะฮ์ : แต่ขณะนี้คุณกลับปฏิเสธเรื่อง ชิริก ที่อัลลอฮ์ทรงห้ามด้วยตัวของคุณเอง คุณจะสาบานต่ออัลลอฮ์ไหมว่า คุณจะชี้แนะให้ฉันทราบว่า อะไรคือการทำ ชิริก ต่ออัลลอฮ์ ที่คุณมิได้กำลังทำอยู่ ? และคุณปฏิเสธว่าตัวคุณมิได้ทำ ?
อับดุนนบีย์ : ชิริก คือการสักการะบรรดาเจว็ดรูปปั้น และการผินหน้ามุ่งสู่สิ่งเหล่านั้น ขอจากสิ่งเหล่านั้น และกลัวสิ่งเหล่านั้น
อับดุลเลาะฮ์ : อะไรคือความหมายของคำว่า สักการะ ( อิบาดะฮ์ ) ต่อบรรดาเจว็ดรูปปั้น? คุณคิดว่าพวกนั้นต่างเชื่อว่า บรรดาต้นไม้ ก้อนหิน สามารถสร้างให้ปัจจัย ( ริสกีย์ ) และบริหารจัดการ สิ่งที่พวกเขาวิงวอนขอใช่หรือไม่ ? เปล่าเลย ! เพราะนี่เป็นสิ่งที่อัลกุรอานปฏิเสธ
อับดุนนบีย์ : ไม่ใช่เพียงเท่านั้น ! แต่ทว่า ผู้ใดที่มุ่งวิงวอนขอต่อต้นไม้ ก้อนหิน หรืออาคาร สิ่งก่อสร้างบนกุบูร หรืออื่น ๆ พวกเขาอยู่ในสภาพที่กำลังวิงวอนขอ และมีการเชือดเพื่อสิ่งเหล่านั้น และนั่นเป็นการทำให้ได้ใกล้ชิดกับอัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่งอย่างแท้จริง และอัลลอฮ์ จะประทานความจำเริญ (บะรอกะฮ์) ให้เราอันเนื่องจากเขา นี่คือ การอิบาดะฮ์ต่อบรรดาเจว็ดรูปปั้น ตามที่ผมหมายถึง !
อับดุลเลาะฮ์ : ถูกต้องแล้ว และนี่คือการกระทำที่มีต่อก้อนหิน สิ่งก่อสร้าง และเหล็ก ซึ่งอยู่ บนกุบูร และที่อื่น ๆ และคำพูดที่ว่า การตั้งภาคี (ชิริก) คือ การอิบาดะฮ์ต่อบรรดาเจว็ดรูปปั้น ! การทำชิริกหมายถึง ผู้ที่กระทำเช่นนั้นใช่หรือไม่ ? และการมุ่งไปสู่คนดี ๆ ( คนซอลิฮ์ ) และพึ่งพาอาศัยวิงวอนขอดุอาอ์ต่อพวกเขา ไม่ได้เข้าอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าการตั้งภาคี ( ชิริก ) ด้วยกระนั้นหรือ ?อับดุนนบีย์ : ใช่แล้ว นี่คือสิ่งที่ผมต้องการ
อับดุลเลาะฮ์ : ถ้าอย่างนั้นคุณไปอยู่เสียที่ไหน ในเมื่อมีอายาตอัลกุรอานมากมายที่อัลลอฮ์ตรัสห้ามมิให้ ยึดติดอยู่กับบรรดาคนซอลิฮ์ และผูกผันอยู่กับบรรดามลาอิกะฮ์ และคนอื่น ๆ ฯลฯ และยังถือว่าผู้ใดที่กระทำการดังกล่าว เท่ากับเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ( กุฟร ) ดังที่ได้เคยบอกกับคุณมาก่อนหน้านี้แล้ว
อับดุนนบีย์ : แต่ผู้ที่วิงวอนขอต่อบรรดามลาอิกะฮ์และบรรดานะบีย์ พวกเขามิได้ถูกตัดสินว่าเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ( กาฟิร ) ด้วยกับสาเหตุเช่นนี้ แต่พวกเขาถูกถือว่าเป็น กาฟิร เพราะพวกเขาพูดว่า บรรดามลาอิกะฮ์นั้นเป็นพระธิดาของอัลลอฮ์ และ อัลมะซี๊ฮ์ เป็นพระบุตรของอัลลอฮ์ต่างหาก และเรามิได้พูดว่า อับดุลกอดิร เป็นพระบุตรของอัลลอฮ์ และก็ไม่ได้พูดว่า ซัยนับ เป็นพระธิดาของอัลลอฮ์อีกด้วย !
อับดุลเลาะฮ์ : สำหรับการสืบสายโลหิตไปถึงอัลลอฮ์ นั่นเป็นการปฏิเสธศรัทธา (กุฟรฺ) ชัดเจนอยู่แล้ว เพราะอัลลอฮ์ ตรัสว่า
( มุฮัมมัด ) จงกล่าวเถิดว่า พระองค์คืออัลลอฮ์ ผู้ทรงเอกะ อัลลอฮ์นั้นทรงเป็นที่พึ่ง ( อัลอิคลาศ / 1-2 )
คำว่า อัลอะฮัด คือ หนึ่งเดียว หรือ เอกะ ไม่มีภาคีเคียงคู่ใด ๆ
คำว่า อัซซอมัด คือ เป็นที่พึ่งพิง ดังนั้น ผู้ใดที่ปฏิเสธไม่ยอมรับการพึ่งพาพระองค์ ก็เท่ากับเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ( กุฟรฺ ) และแม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับในตอนท้ายซูเราะฮ์ก็ตาม อัลลอฮ์ ตรัสว่า อัลลอฮ์ มิได้ทรงตั้งผู้ใดเป็นพระบุตร และไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดเป็นพระเจ้าเคียงคู่ร่วมกับพระองค์ ถ้าเช่นนั้น พระเจ้าแต่ละองค์ย่อมจะต้องเอาสิ่งที่ตนสร้างไปเสียหมด และแน่นอน พระเจ้าบางองค์ในหมู่พวกเขา ก็จะมีอำนาจเหนือกว่าอีกบางองค์ อัลลอฮ์ นั้นทรงมหาบริสุทธิ์ยิ่ง เกินกว่าที่พวกเขาจะกล่าวอ้าง ( อัลมุอฺมินูน / 91 )
ดังนั้น การปฏิเสธศรัทธาทั้งสองประการนั้นย่อมแตกต่างกัน และหลักฐานคือ บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา (กุฟฟาร) ด้วยกับการวิงวอนขอต่อ ล๊าต ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเคยเป็นคนซอลิฮ์มาก่อน พวกเขาไม่ถือเอาว่า ล๊าต นั้น เป็นพระบุตรของอัลลอฮ์
บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่สักการะบูชา ญิน พวกเขาก็ไม่ได้ถือเอาพวกญินเป็นพระบุตรของอัลลอฮ์ ด้วยเช่นกัน
ในทำนองเดียวกัน บรรดามัซฮับทั้งสี่ ได้ระบุไว้ในบทที่ว่าด้วยข้อตัดสินชี้ขาด (ฮุก่ม) สำหรับผู้ตกศาสนา มุรตัด สิ้นสภาพการเป็นมุสลิม กล่าวคือ เมื่อมุสลิมคนใดอ้างว่าอัลลอฮ์ทรงมีพระบุตร เขาผู้นั้นก็สิ้นสภาพการเป็นมุสลิม คือตก มุรตัด นั่นเอง
และถ้าเขาตั้งภาคีกับอัลลอฮ์ ( ทำชิริก ) แน่นอนเท่ากับเป็นการสิ้นสภาพการเป็นมุสลิม( มุรตัด ) เป็นการจำแนกออกจากกันได้เป็นสองอย่างนี้
อัลดุนนบีย์ : แต่ทว่าอัลลอฮ์ ตรัสว่า
พึงรู้เถิดว่า แท้จริง บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ ทรงรักนั้น ไม่มีความกลัวใด ๆ สำหรับพวกเขา และพวกเขาก็จะไม่เศร้าโศกเสียใจใด ๆ ( ยูนุส / 62 )
อับดุลเลาะฮ์ : เราเห็นด้วยเพราะมันเป็นความจริง แต่พวกเขามิได้อิบาดะฮ์ต่อพวกนั้น และเราก็มิได้ปฏิเสธเว้นแต่ว่าจะมีการอิบาดะฮ์พวกเขาร่วมกับอัลลอฮ์ และนำเอาพวกเหล่านั้นมาเป็นภาคี (ชิริก) ต่อพระองค์ ซึ่งถือเป็นการทำชิริก ถ้าไม่เช่นนั้นก็เป็นหน้าที่ที่คุณจะต้องรักพวกเขาและปฏิบัติตาม ให้เกียรติ และจะต้องไม่ปฏิเสธเกียรติคุณ ( กะรอมะฮ์ ) ของบรรดาผู้เป็นที่รักของอัลลอฮ์ (เอาว์ลิยาอ์) ไม่มีผู้ใดจะปฏิเสธเกียรติคุณของบรรดาผู้ที่เป็นที่รักของอัลลอฮ์ นอกจากพวกที่ทำบิดอะฮ์เท่านั้น ศาสนาของอัลลอฮ์ นั้นอยู่ตรงกลางทั้งสองข้าง ระหว่างแสงสว่างนำทางกับความหลงผิด และระหว่างความจริงกับความเท็จ !
อับดุนบีย์ : บรรดาผู้ที่อัลกุรอานระบุนั้น พวกเขามิได้กล่าวปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และยังปฏิเสธไม่ยอมรับท่านเราะซูล ว่าเป็นนะบี ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพ และปฏิเสธอัลกุรอาน และถือว่าอัลกุรอานนั้น เป็นเวทย์มนต์คาถา (ซิฮี๊ร) อีกด้วย
ขณะที่เราปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และท่านนะบีมุฮัมมัดนั้น เป็นเราะซูลของอัลลอฮ์ เราเชื่อในอัลกุรอาน ศรัทธาต่อการฟื้นคืนชีพ ละหมาด และถือศีลอด แล้วพวกท่านจะให้เราไปเหมือนกับพวกนั้นได้อย่างไรกัน ?
Part 1 >>>> Click Part 2 >>>> Click Part 3>>>> Click Part 4 >>>> Click
Part 5 >>>> Click Part 6 >>>> Clickแปลโดย อ.มาลิก โยธาสมุทร
จากข้อเขียนของ ดร. มุฮัมมัด บินสุลัยมาน อัลอัชก็อรฺ