อับดุลลอฮ์ กับ อับดุนนะบีย์
ตอน 2
อับดุลเลาะฮ์ : และอะไรคือสาเหตุที่กลุ่มชนของนูฮ์ทำชิริก!
อับดุนนบีย์ : ฉันไม่รู้
อับดุลเลาะฮฺ : อัลลอฮ์ ได้ทรงส่งนะบีนูฮ์ ไปยังกลุ่มชนของท่าน เมื่อพวกเขาได้ทำเกินเลย ( ฆุลู๊ว์ )ต่อบรรดาคนดี( ซอลิฮีน ) เช่น วุดดัน สุวาอัน ยะฆู๊ษ ยะอู๊ก และนัสร็อน
อับดุนนบีย์ : ท่านหมายถึง วุดดัน สุวาอัน ยะฆู๊ษ ยะอู๊ก และนัสร็อน คือชื่อของบรรดาคนดีๆ คนซอลิฮีน มิใช่ชื่อของบรรดาอาชญากร ( ญะบาบิเราะฮ์ ) ที่เป็นผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา ( กาฟิรฺ) แต่ประการใด
อับดุลเลาะฮ์ : ถูกต้องแล้ว ชื่อเหล่านี้คือชื่อของเจ้าต่างๆ ที่กลุ่มชนของนูฮ์ ได้เคารพกราบไหว้ แล้วชาวอาหรับจึงเคารพกราบไหว้ตามกันมา ซึ่งแท้จริงชื่อดังกล่าวเป็นชื่อของคนที่ดีสมัยก่อน ๆ จากหลักฐาน อิมาม อัลบุคอรีย์ ได้บันทึกรายงานของท่านอิบนุ อับบ๊าส ระบุว่า หลังจากที่ได้กล่าวถึงชื่อคนดีเหล่านี้จากกลุ่มชนของนูฮ์ เมื่อพวกเขาได้ตายไป ชัยฏอนได้เข้ามากระซิบกระซาบ ยุยง ให้สร้างรูปจำลองของคนดีๆขึ้นในที่ชุมนุมที่พวกเขาได้เคยนั่งร่วมชุมนุมกัน และตั้งชื่อด้วยกับชื่อของคนเหล่านั้น พวกเขาจึงทำตามโดยมิได้มีการเคารพบูชา(อิบาดะฮ์) จนกระทั่งเมื่อพวกที่สร้างได้ตายกันไปหมดแล้ว ความรู้ในข้อเท็จจริงถูกลืมไป รูปจำลอง(หุ่น)จึงถูกเคารพกราบไหว้ (ในเวลาต่อมา )
อับดุนนบีย์ : นี่เป็นถ้อยคำที่น่าแปลกประหลาดมาก !
อับดุลเลาะฮ์ : จะเอาไหม ฉันจะบอกถึงสิ่งที่แปลกยิ่งกว่านั้นอีก ? นั่นคือ คุณจะต้องรู้ว่า ท่านนะบีมุฮัมมัด ผู้เป็นนะบีท่านสุดท้ายนั้น อัลลอฮ์ ทรงส่งท่านมายังกลุ่มชนที่ทำอิบาดะฮ์ ทำฮัจญ์ ทำทาน และจ่ายซะกาต แต่ทว่า พวกเขาให้คนบางคน (มัคลู๊ก) มาเป็นสื่อกลางระหว่างพวกเขากับอัลลอฮ์ พวกเขากล่าวว่า เราต้องการให้พวกเขาช่วยเราให้ได้ใกล้ชิดกับอัลลอฮ์ และเราต้องการให้พวกเขาช่วยอนุเคราะห์ขอความช่วยเหลือ ( ชะฟาอะฮ์ ) ต่ออัลลอฮ์ ไม่ว่าจะเป็น มลาอิกะฮ์ หรือท่านนะบีอีซา ( พระเยซู ) หรือที่เป็นคนดี ดังนั้น อัลลอฮ์ จึงส่งท่านนะบีมุฮัมมัด มาเพื่อฟื้นฟูศาสนาของท่านนะบีอิบรอฮีม ผู้เป็นบิดาของพวกเขา เพื่อจะให้ได้รู้ว่าการทำตัวให้ใกล้ชิดและการเชื่อมั่นอันบริสุทธิ์นั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ เพียงองค์เดียว
ไม่เป็นการเหมาะสมที่จะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือผู้หนึ่งผู้ใดนอกเหนือไปจากอัลลอฮ์ จะมามีสิทธิ์มีส่วนร่วมกับพระองค์ ไม่มีผู้ใดจะให้ปัจจัยยังชีพ (ริสกีย์) ได้นอกจากพระองค์เท่านั้น และแท้จริง บรรดาฟากฟ้า ทั้งเจ็ด และแผ่นดินทั้งเจ็ดชั้น ตลอดจนสิ่งที่อยู่ในระหว่างนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นบ่าวของพระองค์ ภายใต้การบริหารจัดการของอัลลอฮ์ องค์เดียวเท่านั้น !
อับดุนนบีย์ : เป็นคำพูดที่เป็นอันตรายยิ่ง ท่านมีหลักฐานอะไรที่บ่งชี้ถึงบ้าง ?
อับดุลเลาะฮ์ : มีหลักฐานมากมาย ดังดำรัสของอัลลอฮ์ที่ว่า
(มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า ใครเล่าเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพที่มาจากฟากฟ้าและแผ่นดินให้แก่พวกท่าน ? หรือว่าใครเล่าเป็นเจ้าของการได้ยิน การมองเห็น ? และใครเล่าเป็นผู้ให้มีชีวิตขึ้นมาหลังจากการตาย และใครเล่าเป็นผู้ให้ตายภายหลังจากที่ได้ให้มีชีวิตมา ? และใครเล่าเป็นผู้บริหารจัดการกิจการต่างๆ ? แล้วพวกเขาจะกล่าวว่า
อัลลอฮ์ ดังนั้นมุฮัมมัดจงกล่าวเถิดว่าพวกท่านไม่เกรงกลัวอัลลอฮ์ ดอกหรือ? (ยูนุส / 31)
และดำรัสของพระองค์ที่ว่า
(มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า แผ่นดินนี้และผู้ที่อยู่ในนั้น เป็นของใครกัน ? หากพวกท่านจะรู้ได้ ? พวกเขาจะกล่าวว่า มันเป็นของอัลลอฮ์ (มุฮัมมัด) จงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจะไม่ใคร่ครวญดูบ้างดอกหรือ ? ( อัลมุอฺมินูน / 84 85)บรรดามุชริกีนต่างเคยกล่าว ตัลบียะฮ์ ว่า
لَبَّيْكَ اللَّهُمَّ لَبَّيْكَ لَبَّيْكَ لاَ شَرِيْكَ لَكَ إِلاَّ شَرِيْكًا هُوَ لَكَ تَمْلِكُهُ وَمَا مَلَكَ
โอ้ อัลลอฮฺ ฉันขอตอบรับคำเรียกร้องของพระองค์ ฉันขอตอบรับพระองค์ ไม่มีภาคีใด ๆ กับพระองค์ นอกจากบรรดาภาคีที่เป็นของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ครอบครองอยู่
บรรดามุชริกชาวกุเรชมักกะฮฺรู้ดีว่า อัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงบริหารจัดการกิจการของโลกหรือที่เรียกกันว่า เตาว์ฮีด อัรรุบูบียะฮฺ แต่ก็มิได้ทำให้พวกเขาเป็นผู้นับถืออิสลาม และหากพวกเขามุ่งเน้นไปที่บรรดามลาอิกะฮ์ บรรดานะบี หรือบรรดาวะลีย์ และต้องการที่จะให้พวกเขาช่วยขอชะฟาอะฮ์ และทำให้ได้ใกล้ชิดกับอัลลอฮ์ ด้วยเหตุนี้ พระองค์อัลลอฮ์ คือ ผู้ทรงอนุมัติ เลือดเนื้อและทรัพย์สินของพวกเขา ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมอบการวอนขอทั้งหมดให้เป็นของอัลลอฮ์ การขอความช่วยเหลือทั้งหมดนี้เป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และการอิบาดะฮ์ทั้งมวลล้วนเป็นของอัลลอฮ์ทั้งสิ้น
อับดุนนบีย์ : เมื่อการให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์ ( เตาว์ฮีด ) ที่ท่านเราะซูล เรียกร้องเชิญชวนไปสู่นั้น มิใช่เพียงการกล่าวว่า อัลลอฮ์นั้นทรงมีอยู่ ทรงบริหารจัดการกิจการของโลกนี้ ดังที่ท่านอ้างมานั้น แล้วมันคืออะไรเล่า ?
อับดุลเลาะฮ์ : การให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์ ( อัตเตาว์ฮีด) ที่บรรดาเราะซูลเรียกร้องเชิญชวนให้มีและบรรดาผู้ตั้งภาคี (มุชริกีน) ปฏิเสธที่จะยอมรับและปฏิบัติตามคือ การให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์ ด้วยการเคารพสักการะพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น อย่าได้ไปทำอิบาดะห์เพื่อผู้อื่น เช่น การวอนขอ การบนบาน การเชือด การขอให้ช่วยเหลือ และการขอความช่วยเหลือ
เตาว์ฮีดประเภทนี้ คือ ความหมาย คำพูดที่ว่า ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์ เพราะคำว่า พระเจ้า ( อิลาฮะ) ในทัศนะของมุชริก กุเรช หมายถึง สิ่งเหล่านั้นที่มีจุดมุ่งหมาย ไม่ว่าจะเป็นบรรดามลาอิกะฮ์ บรรดานะบี บรรดาวะลีย์ ต้นหมากรากไม้ หลุมฝังศพ ( กุบูร ) หรือภูตผี ปีศาจ ( ญิน) ต่างๆ พวกเขาไม่ต้องการให้คำว่า อัลลอฮ์ (พระเจ้า) คือผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพอย่างมากมาย ผู้ทรงบริหารจัดการ ทั้งๆ ที่พวกเขารู้ว่านั่น เป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์เพียงองค์เดียว ดังนั้น เมื่อท่านนะบีมุฮัมมัด มาเรียกร้องเชิญชวนไปสู่ถ้อยคำแห่งเอกภาพ นั่นคือ คำว่า ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ ( لا إله إلا الله ) ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจาก อัลลอฮ์ จุดมุ่งหมายของความหมายดังกล่าวนั้น มิใช่เพียงแค่ คำพูดจากลมปากเท่านั้น
อับดุนนบีย์ : เหมือนกับคุณต้องการที่จะบอกว่า มุชริกกุเรช รู้ความหมายของคำว่า ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์ ดีกว่ามุสลิมบางคนในสมัยนี้เสียอีกกระนั้นหรือ ? !
อับดุลเลาะฮฺ : และนี่คือความจริง แต่ที่น่าเสียใจที่สุดก็คือ บรรดากุฟฟ๊ารที่โฉดเขลา ต่างก็รู้ดีว่า แท้จริง เป้าหมายของท่านนะบีเกี่ยวกับถ้อยคำนี้ คือ การให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์ในการอิบาดะฮ์ และปฏิเสธศรัทธา( กุฟรฺ) ต่อทุกสิ่งที่ถูกเคารพสักการะนอกเหนือจากอัลลอฮ์ เมื่อท่านนะบีกล่าวแก่พวกเขาว่า จงกล่าวว่า ( ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์ ) ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ พวกเขากลับกล่าวว่า
เขา (มุฮัมมัด) ทำให้บรรดาพระเจ้าต่างๆ หลายองค์กลายมาเป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวกระนั้นหรือ? แท้จริงนี่ช่างเป็นเรื่องน่าประหลาดแท้ๆ ( ศ็อด / 5 )
ทั้งๆที่ พวกเขาศรัทธาว่า อัลลอฮ์ นั้นเป็นผู้ทรงบริหา กิจการของโลกนี้ เมื่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา (กุฟฟ๊าร) ที่โฉดเขลายังรู้ได้ถึงขนาดนี้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องน่าประหลาดสำหรับผู้ที่อ้างตนว่าเป็นมุสลิม แต่ไม่รู้ถึงคำอธิบายของถ้อยคำดังกล่าวที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธามีความเข้าใจ เขาคิดว่าเพียงแต่เปล่งถ้อยคำดังกล่าวออกมาโดยที่หัวใจของเขามิได้เชื่อมั่นก็เพียงพอแล้วแม้ไม่รู้ความหมายก็ตาม ผู้ชำนาญในหมู่พวกเขาคิดเอาเองว่า ความหมายคือ ไม่มีผู้ใดสร้าง ไม่มีผู้ใดให้ปัจจัยยังชีพ (ริสกีย์) นอกจาก อัลลอฮ์ และไม่มีผู้ใดบริหารกิจการของโลก นอกจากอัลลอฮ์ เท่านั้นดังนั้น จึงไม่นับว่าเป็นคุณความดี สำหรับผู้คนในสมัยนี้ที่โฉดเขลา เบาปัญญา ที่จะเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ( กุฟฟ๊าร ) ขณะที่พวกกุเรชมักกะฮฺยังรู้ความหมายของคำว่า ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์ ดียิ่งกว่าเขาผู้นั้นเสียอีก !
อับดุนนบีย์ : แต่ทว่าผมมิได้ตั้งภาคีหรือทำชิริกใด ๆ ต่ออัลลอฮ์ มิหนำซ้ำ ผมยังปฏิญาณยืนยันว่าไม่มีผู้สร้าง ไม่มีผู้ประทานริสกีย์ ไม่มีผู้ให้คุณ หรือให้โทษอื่นใด นอกจากอัลลอฮ์เพียงองค์เดียว ไม่มีหุ้นส่วนหรือภาคีใด ๆ กับพระองค์ และแท้จริง ท่านนะบีมุฮัมมัด นั้น มิได้มีเอกสิทธิ์ใด ๆ ในการให้คุณหรือให้โทษต่อชีวิต แม้กระทั่งท่านอาลี ท่านฮุซัยน์ หรือ อับดุลกอดิร อัลญีลานีย์ หรือคนอื่นๆ แต่ผมนั้นเป็นผู้ทำผิดบาป ส่วนคนดี ๆ (ซอลิฮ์) นั้น พวกเขาได้รับเกียรติ ณ อัลลอฮ์ และผมก็ต้องการได้รับเกียรติจากอัลลอฮ์ ด้วยกับเกียรติของพวกเขาเหล่านั้น เท่านั้นเอง !
อับดุลเลาะฮ์ : ฉันจะตอบให้คุณรู้ในสิ่งที่คุณได้พูดมา นั่นคือ บรรดาผู้ที่ท่านนะบีได้ทำการสู้รบกับพวกเขา ก็เหมือนกับสิ่งที่คุณได้พูดถึง นั่นเปรียบได้กับบรรดาเจว็ดรูปปั้น ไม่ได้บริหารจัดการแต่ประการใดทั้งสิ้น แท้จริงแล้วพวกเขาต้องการได้รับเกียรติ และได้รับชะฟาอะฮ์ (การได้รับอนุมัติให้ได้ขอลดหย่อนผ่อนโทษ) ดังที่อัลกุรอานได้แจ้งให้ทราบแล้วนั่นเอง
อับดุนนบีย์ : แต่อายาต(โองการต่างๆ)เหล่านั้น ถูกประทานลงมาเกี่ยวกับผู้ที่กราบไหว้รูปปั้น แล้วพวกคุณจะให้ คนดี ๆ (ซอลิฮฺ) ไปเหมือนกับบรรดารูปปั้น (อัศนาม) ได้อย่างไรกัน ? หรือคุณจะให้บรรดานะบีไปเหมือนกับบรรดาเจว็ดรูปปั้น ได้อย่างไร ?
.
.
Part 1 >>>> Click Part 2 >>>> Click Part 3>>>> Click Part 4 >>>> Click
Part 5 >>>> Click Part 6 >>>> Click
''
แปลโดย อ.มาลิก โยธาสมุทร
จากข้อเขียนของ ดร. มุฮัมมัด บินสุลัยมาน อัลอัชก็อรฺ