อับดุลลอฮ์ กับ อับดุนนะบีย์ 2
  จำนวนคนเข้าชม  1959

อับดุลลอฮ์ กับ อับดุนนะบีย์ 

ตอน 2

อับดุลเลาะฮ์ :  และอะไรคือสาเหตุที่กลุ่มชนของนูฮ์ทำชิริก! 

อับดุนนบีย์ :  ฉันไม่รู้

อับดุลเลาะฮฺ : อัลลอฮ์  ได้ทรงส่งนะบีนูฮ์   ไปยังกลุ่มชนของท่าน เมื่อพวกเขาได้ทำเกินเลย ( ฆุลู๊ว์ )ต่อบรรดาคนดี( ซอลิฮีน ) เช่น วุดดัน   สุวาอัน  ยะฆู๊ษ  ยะอู๊ก  และนัสร็อน

อับดุนนบีย์ :  ท่านหมายถึง วุดดัน  สุวาอัน ยะฆู๊ษ  ยะอู๊ก  และนัสร็อน  คือชื่อของบรรดาคนดีๆ คนซอลิฮีน มิใช่ชื่อของบรรดาอาชญากร ( ญะบาบิเราะฮ์ ) ที่เป็นผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา ( กาฟิรฺ)  แต่ประการใด

อับดุลเลาะฮ์  : ถูกต้องแล้ว ชื่อเหล่านี้คือชื่อของเจ้าต่างๆ ที่กลุ่มชนของนูฮ์ ได้เคารพกราบไหว้ แล้วชาวอาหรับจึงเคารพกราบไหว้ตามกันมา ซึ่งแท้จริงชื่อดังกล่าวเป็นชื่อของคนที่ดีสมัยก่อน ๆ จากหลักฐาน อิมาม อัลบุคอรีย์ ได้บันทึกรายงานของท่านอิบนุ อับบ๊าส  ระบุว่า หลังจากที่ได้กล่าวถึงชื่อคนดีเหล่านี้จากกลุ่มชนของนูฮ์  เมื่อพวกเขาได้ตายไป ชัยฏอนได้เข้ามากระซิบกระซาบ ยุยง ให้สร้างรูปจำลองของคนดีๆขึ้นในที่ชุมนุมที่พวกเขาได้เคยนั่งร่วมชุมนุมกัน และตั้งชื่อด้วยกับชื่อของคนเหล่านั้น  พวกเขาจึงทำตามโดยมิได้มีการเคารพบูชา(อิบาดะฮ์)  จนกระทั่งเมื่อพวกที่สร้างได้ตายกันไปหมดแล้ว ความรู้ในข้อเท็จจริงถูกลืมไป รูปจำลอง(หุ่น)จึงถูกเคารพกราบไหว้ (ในเวลาต่อมา )

อับดุนนบีย์ :  นี่เป็นถ้อยคำที่น่าแปลกประหลาดมาก !

อับดุลเลาะฮ์ :  จะเอาไหม ฉันจะบอกถึงสิ่งที่แปลกยิ่งกว่านั้นอีก ?  นั่นคือ คุณจะต้องรู้ว่า ท่านนะบีมุฮัมมัด   ผู้เป็นนะบีท่านสุดท้ายนั้น  อัลลอฮ์ ทรงส่งท่านมายังกลุ่มชนที่ทำอิบาดะฮ์  ทำฮัจญ์  ทำทาน และจ่ายซะกาต แต่ทว่า พวกเขาให้คนบางคน (มัคลู๊ก) มาเป็นสื่อกลางระหว่างพวกเขากับอัลลอฮ์ พวกเขากล่าวว่า  เราต้องการให้พวกเขาช่วยเราให้ได้ใกล้ชิดกับอัลลอฮ์ และเราต้องการให้พวกเขาช่วยอนุเคราะห์ขอความช่วยเหลือ ( ชะฟาอะฮ์ ) ต่ออัลลอฮ์ ไม่ว่าจะเป็น มลาอิกะฮ์ หรือท่านนะบีอีซา ( พระเยซู ) หรือที่เป็นคนดี   ดังนั้น อัลลอฮ์ จึงส่งท่านนะบีมุฮัมมัด    มาเพื่อฟื้นฟูศาสนาของท่านนะบีอิบรอฮีม    ผู้เป็นบิดาของพวกเขา เพื่อจะให้ได้รู้ว่าการทำตัวให้ใกล้ชิดและการเชื่อมั่นอันบริสุทธิ์นั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์    เพียงองค์เดียว 

         ไม่เป็นการเหมาะสมที่จะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือผู้หนึ่งผู้ใดนอกเหนือไปจากอัลลอฮ์ จะมามีสิทธิ์มีส่วนร่วมกับพระองค์  ไม่มีผู้ใดจะให้ปัจจัยยังชีพ (ริสกีย์) ได้นอกจากพระองค์เท่านั้น  และแท้จริง บรรดาฟากฟ้า ทั้งเจ็ด และแผ่นดินทั้งเจ็ดชั้น  ตลอดจนสิ่งที่อยู่ในระหว่างนั้น   ทั้งหมดล้วนเป็นบ่าวของพระองค์  ภายใต้การบริหารจัดการของอัลลอฮ์  องค์เดียวเท่านั้น !

อับดุนนบีย์ :  เป็นคำพูดที่เป็นอันตรายยิ่ง  ท่านมีหลักฐานอะไรที่บ่งชี้ถึงบ้าง ?

อับดุลเลาะฮ์ : มีหลักฐานมากมาย   ดังดำรัสของอัลลอฮ์ที่ว่า

“ (มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า ใครเล่าเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพที่มาจากฟากฟ้าและแผ่นดินให้แก่พวกท่าน ?   หรือว่าใครเล่าเป็นเจ้าของการได้ยิน  การมองเห็น ? และใครเล่าเป็นผู้ให้มีชีวิตขึ้นมาหลังจากการตาย และใครเล่าเป็นผู้ให้ตายภายหลังจากที่ได้ให้มีชีวิตมา ? และใครเล่าเป็นผู้บริหารจัดการกิจการต่างๆ ?  แล้วพวกเขาจะกล่าวว่า      

“อัลลอฮ์” ดังนั้นมุฮัมมัดจงกล่าวเถิดว่าพวกท่านไม่เกรงกลัวอัลลอฮ์ ดอกหรือ?”   (ยูนุส /  31)                               

และดำรัสของพระองค์ที่ว่า
                   
 “ (มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า แผ่นดินนี้และผู้ที่อยู่ในนั้น เป็นของใครกัน ? หากพวกท่านจะรู้ได้ ? พวกเขาจะกล่าวว่า มันเป็นของอัลลอฮ์ (มุฮัมมัด) จงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น  พวกท่านจะไม่ใคร่ครวญดูบ้างดอกหรือ ?  ”    ( อัลมุอฺมินูน / 84 –85)

บรรดามุชริกีนต่างเคยกล่าว “ ตัลบียะฮ์”  ว่า

” لَبَّيْكَ اللَّهُمَّ لَبَّيْكَ لَبَّيْكَ لاَ شَرِيْكَ لَكَ إِلاَّ شَرِيْكًا هُوَ لَكَ تَمْلِكُهُ وَمَا مَلَكَ“

“ โอ้ อัลลอฮฺ ฉันขอตอบรับคำเรียกร้องของพระองค์ ฉันขอตอบรับพระองค์ ไม่มีภาคีใด ๆ กับพระองค์ นอกจากบรรดาภาคีที่เป็นของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ครอบครองอยู่ ”

          บรรดามุชริกชาวกุเรชมักกะฮฺรู้ดีว่า อัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงบริหารจัดการกิจการของโลกหรือที่เรียกกันว่า       “ เตาว์ฮีด อัรรุบูบียะฮฺ ” แต่ก็มิได้ทำให้พวกเขาเป็นผู้นับถืออิสลาม และหากพวกเขามุ่งเน้นไปที่บรรดามลาอิกะฮ์ บรรดานะบี หรือบรรดาวะลีย์ และต้องการที่จะให้พวกเขาช่วยขอชะฟาอะฮ์ และทำให้ได้ใกล้ชิดกับอัลลอฮ์  ด้วยเหตุนี้     พระองค์อัลลอฮ์ คือ ผู้ทรงอนุมัติ เลือดเนื้อและทรัพย์สินของพวกเขา ดังนั้น  จึงจำเป็นที่จะต้องมอบการวอนขอทั้งหมดให้เป็นของอัลลอฮ์  การขอความช่วยเหลือทั้งหมดนี้เป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และการอิบาดะฮ์ทั้งมวลล้วนเป็นของอัลลอฮ์ทั้งสิ้น

อับดุนนบีย์ : เมื่อการให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์ ( เตาว์ฮีด )  ที่ท่านเราะซูล  เรียกร้องเชิญชวนไปสู่นั้น มิใช่เพียงการกล่าวว่า อัลลอฮ์นั้นทรงมีอยู่ ทรงบริหารจัดการกิจการของโลกนี้  ดังที่ท่านอ้างมานั้น แล้วมันคืออะไรเล่า ?

อับดุลเลาะฮ์ : การให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์ ( อัตเตาว์ฮีด) ที่บรรดาเราะซูลเรียกร้องเชิญชวนให้มีและบรรดาผู้ตั้งภาคี (มุชริกีน) ปฏิเสธที่จะยอมรับและปฏิบัติตามคือ  การให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์ ด้วยการเคารพสักการะพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น อย่าได้ไปทำอิบาดะห์เพื่อผู้อื่น เช่น  การวอนขอ  การบนบาน  การเชือด   การขอให้ช่วยเหลือ   และการขอความช่วยเหลือ 

          เตาว์ฮีดประเภทนี้ คือ ความหมาย คำพูดที่ว่า   “ ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์ ” เพราะคำว่า  พระเจ้า ( อิลาฮะ) ในทัศนะของมุชริก กุเรช หมายถึง สิ่งเหล่านั้นที่มีจุดมุ่งหมาย ไม่ว่าจะเป็นบรรดามลาอิกะฮ์ บรรดานะบี บรรดาวะลีย์  ต้นหมากรากไม้ หลุมฝังศพ ( กุบูร )  หรือภูตผี ปีศาจ ( ญิน)  ต่างๆ  พวกเขาไม่ต้องการให้คำว่า “อัลลอฮ์” (พระเจ้า)  คือผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพอย่างมากมาย ผู้ทรงบริหารจัดการ ทั้งๆ ที่พวกเขารู้ว่านั่น เป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์เพียงองค์เดียว  ดังนั้น เมื่อท่านนะบีมุฮัมมัด มาเรียกร้องเชิญชวนไปสู่ถ้อยคำแห่งเอกภาพ นั่นคือ คำว่า “ ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ” ( لا إله إلا الله   )  “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจาก    อัลลอฮ์”  จุดมุ่งหมายของความหมายดังกล่าวนั้น มิใช่เพียงแค่ คำพูดจากลมปากเท่านั้น

อับดุนนบีย์ : เหมือนกับคุณต้องการที่จะบอกว่า มุชริกกุเรช รู้ความหมายของคำว่า “ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์”    ดีกว่ามุสลิมบางคนในสมัยนี้เสียอีกกระนั้นหรือ ? !

อับดุลเลาะฮฺ : และนี่คือความจริง  แต่ที่น่าเสียใจที่สุดก็คือ  บรรดากุฟฟ๊ารที่โฉดเขลา ต่างก็รู้ดีว่า  แท้จริง เป้าหมายของท่านนะบีเกี่ยวกับถ้อยคำนี้ คือ การให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์ในการอิบาดะฮ์ และปฏิเสธศรัทธา( กุฟรฺ) ต่อทุกสิ่งที่ถูกเคารพสักการะนอกเหนือจากอัลลอฮ์  เมื่อท่านนะบีกล่าวแก่พวกเขาว่า “ จงกล่าวว่า  ( ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์ )  ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์”  พวกเขากลับกล่าวว่า

“ เขา (มุฮัมมัด) ทำให้บรรดาพระเจ้าต่างๆ หลายองค์กลายมาเป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวกระนั้นหรือ? แท้จริงนี่ช่างเป็นเรื่องน่าประหลาดแท้ๆ ”   ( ศ็อด /  5 )
 
         ทั้งๆที่ พวกเขาศรัทธาว่า อัลลอฮ์ นั้นเป็นผู้ทรงบริหา กิจการของโลกนี้ เมื่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา (กุฟฟ๊าร) ที่โฉดเขลายังรู้ได้ถึงขนาดนี้  ดังนั้น จึงเป็นเรื่องน่าประหลาดสำหรับผู้ที่อ้างตนว่าเป็นมุสลิม แต่ไม่รู้ถึงคำอธิบายของถ้อยคำดังกล่าวที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธามีความเข้าใจ เขาคิดว่าเพียงแต่เปล่งถ้อยคำดังกล่าวออกมาโดยที่หัวใจของเขามิได้เชื่อมั่นก็เพียงพอแล้วแม้ไม่รู้ความหมายก็ตาม ผู้ชำนาญในหมู่พวกเขาคิดเอาเองว่า ความหมายคือ ไม่มีผู้ใดสร้าง ไม่มีผู้ใดให้ปัจจัยยังชีพ (ริสกีย์) นอกจาก  อัลลอฮ์  และไม่มีผู้ใดบริหารกิจการของโลก  นอกจากอัลลอฮ์    เท่านั้น

          ดังนั้น จึงไม่นับว่าเป็นคุณความดี สำหรับผู้คนในสมัยนี้ที่โฉดเขลา เบาปัญญา ที่จะเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ( กุฟฟ๊าร )  ขณะที่พวกกุเรชมักกะฮฺยังรู้ความหมายของคำว่า “ ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์ ”  ดียิ่งกว่าเขาผู้นั้นเสียอีก ! 

 อับดุนนบีย์  : แต่ทว่าผมมิได้ตั้งภาคีหรือทำชิริกใด ๆ ต่ออัลลอฮ์ มิหนำซ้ำ ผมยังปฏิญาณยืนยันว่าไม่มีผู้สร้าง  ไม่มีผู้ประทานริสกีย์ ไม่มีผู้ให้คุณ  หรือให้โทษอื่นใด นอกจากอัลลอฮ์เพียงองค์เดียว    ไม่มีหุ้นส่วนหรือภาคีใด ๆ กับพระองค์ และแท้จริง ท่านนะบีมุฮัมมัด นั้น มิได้มีเอกสิทธิ์ใด ๆ ในการให้คุณหรือให้โทษต่อชีวิต  แม้กระทั่งท่านอาลี ท่านฮุซัยน์ หรือ อับดุลกอดิร อัลญีลานีย์ หรือคนอื่นๆ แต่ผมนั้นเป็นผู้ทำผิดบาป  ส่วนคนดี ๆ (ซอลิฮ์) นั้น พวกเขาได้รับเกียรติ ณ อัลลอฮ์ และผมก็ต้องการได้รับเกียรติจากอัลลอฮ์ ด้วยกับเกียรติของพวกเขาเหล่านั้น เท่านั้นเอง  !

 อับดุลเลาะฮ์  :  ฉันจะตอบให้คุณรู้ในสิ่งที่คุณได้พูดมา นั่นคือ บรรดาผู้ที่ท่านนะบีได้ทำการสู้รบกับพวกเขา ก็เหมือนกับสิ่งที่คุณได้พูดถึง นั่นเปรียบได้กับบรรดาเจว็ดรูปปั้น ไม่ได้บริหารจัดการแต่ประการใดทั้งสิ้น  แท้จริงแล้วพวกเขาต้องการได้รับเกียรติ และได้รับชะฟาอะฮ์   (การได้รับอนุมัติให้ได้ขอลดหย่อนผ่อนโทษ) ดังที่อัลกุรอานได้แจ้งให้ทราบแล้วนั่นเอง

 อับดุนนบีย์ :  แต่อายาต(โองการต่างๆ)เหล่านั้น ถูกประทานลงมาเกี่ยวกับผู้ที่กราบไหว้รูปปั้น แล้วพวกคุณจะให้   คนดี ๆ (ซอลิฮฺ) ไปเหมือนกับบรรดารูปปั้น (อัศนาม) ได้อย่างไรกัน ? หรือคุณจะให้บรรดานะบีไปเหมือนกับบรรดาเจว็ดรูปปั้น ได้อย่างไร ?

.

.

Part 1 >>>> Click          Part 2 >>>> Click          Part 3>>>> Click          Part 4 >>>> Click

Part 5 >>>> Click          Part 6 >>>> Click 


'

'

แปลโดย  อ.มาลิก  โยธาสมุทร

จากข้อเขียนของ  ดร. มุฮัมมัด  บินสุลัยมาน  อัลอัชก็อรฺ