ประเภทของสงคราม
โดย : إجلالى
สงครามที่อนุมัติ
จริงอยู่ที่ว่าการทำสงครามนั้นอาจขัดกับ ความกรุณา หรือความเมตตาสงสาร แต่ตามวะฮียฺ (พระบัญชา) จากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาแล้ว จะต้องคำนึงถึงเรื่องความยุติธรรม และความชอบธรรม เป็นสำคัญ การละเมิดความชอบธรรมหรือฝ่าฝืนความยุติธรรมจึงเป็นสิ่งต้องห้าม ดังกล่าวแล้วผู้ทำสงครามจึงไม่มีสิทธิ์เข่นฆ่าได้ตามอำเภอใจ ดังนั้น หากพิจารณาจากหลักการอิสลามแล้วจะมีสงครามอยู่เพียงบางประเภทเท่านั้นเป็นที่อนุมัติ โดยในที่นี้สามารถจำแนกประเภทสงครามอันเป็นที่อนุมัติได้ออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. การทำสงครามเพื่อต่อต้านการรุกราน
คัมภีร์อัลกุรอ่านได้บัญญัติว่า :
“ดังนั้น ผู้ใดละเมิดต่อพวกเจ้าก็จงละเมิดต่อเขา เยี่ยงที่เขาละเมิดต่อพวกเข้า
และพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และจงรู้ไว้ด้วยว่าแท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงอยู่กับบรรดาผู้ยำเกรงทั้งหลาย”
อัล-บะกอเราะฮฺ 2 :194
ตามตัวบทของอัลกุรอ่านนั้น บุคคลใดไม่มีส่วนสู้รบกับบรรดาผู้ศรัทธา ย่อมได้รับการปฏิบัติที่ดี และให้ทำการสู้รบต่อต้านเฉพาะฝ่ายที่เป็นผู้รุกรานก่อน
ในกรณีนี้มีตัวบทจากอัลกุรอ่านกล่าวไว้อีก ดังนี้
“อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา
และพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า ในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา
และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม”
อัล-มุมตะฮินะฮฺ 60 : 8
คือ อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามบรรดามุสลิมในการที่จะทำความดีและให้ความยุติธรรมกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเขาในเรื่องศาสนา และมิได้ขับไล่บรรดาสตรีและเด็ก ๆ ของพวกเจ้าออกจากบ้านเกิดเมืองนอน และนี่คือหลักแห่งมิตรภาพที่อิสลามใช้ให้ปฏิบัติต่อชนต่างศาสนิกที่ไม่มีส่วนในการรุกราน
นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกว่า แม้จะอนุมัติให้ตอบโต้การรุกรานได้แต่ก็ไม่ให้ด่วนสู้รบถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะลงมือก่อนก็ตามที หากยังไม่ถึงขั้นที่ว่าจะระงับการรุกรานนั้นไว้ไม่ได้ ในอัลกุรอ่านได้มีระบุไว้ชัดเจนว่า
“ และหากพวกเจ้าจะลงโทษ(ฝ่ายปรปักษ์) ก็จงลงโทษเยี่ยงที่พวกเจ้าได้รับโทษ
และหากพวกเจ้าอดทน แน่นอน มันเป็นการดียิ่งสำหรับบรรดาผู้อดทน”
อันนะฮลฺ 16: 126 -127
ข้อความที่ชัดเจนเหล่านี้ย่อมแสดงว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และสหาย ( ซอฮาบะฮฺ ) ของท่านกระทำสงครามโดยมีเจตนารมณ์เพื่อต่อต้านการรุกรานเท่านั้น อิสลามไม่เคยยกย่อง “การทำสงคราม เพื่ออำนาจ” ว่าเป็นอุดมการณ์ที่น่านิยมแต่อย่างใด
2. การทำสงครามเพื่อปกป้อง คุ้มครองและช่วยเหลือผู้ถูกอธรรม
จากคัมภีร์อัลกุรอ่าน ความว่า
“มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นแก่พวกเจ้ากระนั้นหรือ ที่พวกเจ้าไม่สู้รบในหนทางของอัลลอฮ
ทั้งๆ ที่บรรดาผู้อ่อนแอ ไม่ว่าชายและหญิง และเด็กๆ ต่างกล่าวกันว่า
โอ้พระเจ้าของเรา โปรดนำพวกเราออกไปจากเมืองนี้ (มักกะฮฺ) ซึ่งชาวเมืองเป็นผู้ข่มเหงรังแก
และโปรดให้มีขึ้นแก่พวกเราซึ่งผู้คุ้มครองคนหนึ่ง ณ ที่พระองค์
และและโปรดให้มีขึ้นแก่พวกเราซึ่งผู้ช่วยเหลือคนหนึ่ง ณ ที่พระองค์”
อันนิซาอฺ 4 : 75
ดังกล่าวนี้ เป็นคำสั่งใช้ไม่ให้นิ่งดูดาย หรือวางเฉยเมื่อพบผู้โดนกดขี่หรือถูกข่มเหงรังแก ฉะนั้น การทำสงครามต่อสู้ในที่นี้จึงสามารถกระทำได้เพื่อปกป้องผู้อ่อนแอ และผู้ถูกข่มเหงรังแก นอกจากนี้ ในการปกป้องนั้นอิสลามยังใช้ให้มีการเตรียมพร้อมเพื่อป้องกัน ไม่ใช่เตรียมพร้อมเพื่อรุกราน หากแต่ใช้ให้ตระเตรียมกำลังรบและสรรพาวุธเท่าที่สามารถจะจัดหาได้ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรุกรานที่อาจมีขึ้น ดังใจความตอนหนึ่ง ความว่า
“และพวกเจ้าจงเตรียมไว้สำหรับ (ป้องกัน) พวกเขา สิ่งที่พวกเจ้าสามารถ อันได้แก่กำลังอย่างหนึ่งอย่างใด
และการผูกม้าไว้ โดยที่พวกเจ้าจะทำให้ศัตรูของอัลลอฮ และศัตรูของพวกเจ้าหวั่นเกรงด้วยสิ่งนั้น และพวกอื่นๆอีกจากพวกเขา
ซึ่งพวกเจ้ายังไม่รู้จักพวกเขา อัลลอฮ์ทรงรู้จักพวกเขาดี และสิ่งที่พวกเจ้าบริจาคในหนทางของอัลลอฮนั้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม
สิ่งนั้นจะถูกตอบแทนแก่พวกเจ้าโดยครบถ้วนโดยที่พวกเจ้าจะไม่ถูกอธรรม”
อัล-อันฟาล 8 : 60
ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“ผู้ใดจัดเตรียมการสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์ เขาก็เท่ากับได้ทำสงครามด้วย
ผู้ใดที่อยู่แนวหลัง เพื่อดูแลผู้อยู่ภายใต้การดูแลของเขา เขาก็เท่ากับได้ทำสงครามด้วย”
บันทึกโดย อิหม่าม มุสลิม
3. การทำสงครามเพื่อปราบปรามรัฐที่ฝักใฝ่การขยายอำนาจ
แม้ว่าแหล่งที่มาแห่งอำนาจจะมีมาจากแหล่งต่างๆ เช่น การมีความรู้ การมีความสามารถเฉพาะที่เหนือกว่า ฯลฯ อันเป็นอำนาจบริสุทธิ์ที่มิได้ตั้งอยู่บนการละเมิดสิทธิของผู้ใด แต่ในสังคมมนุษย์ก็ยังมีอีกมากมายที่แสวงอำนาจด้วยการรุกราน รังแก ทำลายผู้อื่น ดังนั้น สืบเนื่องจากอาณาจักรมุสลิมต้องเผชิญกับความมุ่งมาดที่จะปราบมุสลิมให้ราบคาบ การป้องกันตัวของมุสลิมจากฝ่ายศัตรูจึงเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง คือแทนที่จะเป็นฝ่ายคอยตั้งรับเฉยๆ ก็เป็นการตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการยกกำลังไปปราบปรามรัฐที่ฝักใฝ่การขยายอำนาจไม่หยุดหย่อน
ดังในบทบัญญัติจากอัลกุรอานที่ว่า
“ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงยึดถือไว้ซึ่งความระมัดระวังของพวกเจ้า แล้วจงออกไปเป็นกลุ่ม ๆ หรือออกไปโดยรวมเป็นกลุ่มเดียวกัน”
อันนิซาอฺ 4 : 71
สำหรับผลการวินิจฉัยของนักนิติศาสตร์มุสลิมในการให้คำจำกัดความเกี่ยวกับรัฐใดเป็นแดนสันติหรือแดนศัตรูนั้น ได้ข้อสรุปว่า หากการเป็นมุสลิมของผู้ใด ดำรงอยู่ได้ด้วยความปลอดภัยในรัฐใด ก็ถือว่ารัฐนั้นเป็นแดนสันติ
สงครามที่ไม่อนุมัติ
เป็นที่ชัดเจนว่าแม้อิสลามจะมีการอนุมัติให้ทำสงครามสู้รบได้ แต่ก็จำกัดไว้ให้เพียงสงครามบางประเภทดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นเท่านั้น ส่วนการทำสงครามอื่นจากนี้ไม่เป็นที่อนุมัติโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามที่ถูกทำให้เข้าใจผิดกันว่าเป็นสงครามตามคำสั่งใช้ในบทบัญญัติอิสลามทั้งๆ ที่ดังกล่าวเป็นสงครามที่ต้องห้ามอย่างชัดเจนในหลักการอิสลาม เช่น
1. การทำสงครามเพื่อบังคับให้เปลี่ยนศาสนา
ตามแนวคิดอิสลามการทำสงครามเพื่อบังคับให้คนอื่นหันมานับถืออิสลาม หรือเพื่อร่วมมือสนับสนุนรัฐบาลอื่นใดในเชิงการเมืองนั้น ไม่ถือเป็นเหตุสมควรที่จะยอมให้ทำสงครามได้ อิสลามได้สร้างเงื่อนไขไว้ว่า การเข้ารับอิสลามของแต่ละคน ต้องเกิดจากเจตนาอันบริสุทธิ์และความต้องการอันเสรีเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยการบังคับขู่เข็ญ และอิสลามถือว่าการบังคับในเรื่องดังกล่าวเป็นอาชญากรรมและสร้างตราบาปให้แก่มนุษย์ที่มีความอิสระและสิทธิเสรีภาพในการกำหนดวิถีชีวิตของตนเอง
อิสลามบัญญัติไว้ชัดเจนในอัลกุรอาน ความว่า
“ไม่มีการบังคับใด ๆ(ให้นับถือ) ในศาสนาอิสลาม แน่นอน ความถูกต้องนั้นได้เป็นที่กระจ่างแจ้งแล้วจากความผิด”
อัล-บะกอเราะฮฺ 2 :256
บรรดาผู้ศรัทธาในยุคแรกของอิสลาม ได้ให้คำอธิบายไว้ว่า
“อย่าได้ยัดเยียดศาสนาอิสลามให้แก่ใครเป็นอันขาด เราจะทำสงครามก็เฉพาะกับผู้ที่รุกรานโจมตีเราเท่านั้น และถ้าอีกฝ่ายยอมรับนับถือศาสนาอิสลามโดยสมัครใจก็เป็นเรื่องที่ต้องอำนวยความปลอดภัยให้แก่เลือดเนื้อและทรัพย์สินของพวกเขา เราจะไม่ฆ่าพวกที่มิได้ทำหน้าที่โจมตีสู้รบเป็นอันขาด และจะไม่บังคับให้ใครต้องยอมรับนับถืออิสลามด้วย”
คัมภีร์อัลกุรอานได้ห้ามการหักหาญชิงชัยกันในเรื่องศาสนา ทั้งยังได้ประณามการขับเคี่ยวขู่เข็ญ กันเอง สร้างความวุ่นวายในหมู่ผู้ศรัทธาว่าเป็นสิ่งเลวร้ายเสียยิ่งกว่าการฆ่า อัลกุรอานถือว่าการก่อการร้ายเพื่อโค่นล้มศาสนาเป็นความชั่วร้ายยิ่งกว่าการฆาตกรรมชีวิตบุคคล ดังจะเห็นได้ชัดในอายะฮฺต่อไปนี้
“ และการก่อความวุ่นวายนั้น ร้ายแรงยิ่งกว่าการประหัตประหารเสียอีก
และจงอย่าสู้รบกับพวกเขา ณ มัสยิดอัลฮะรอม จนกว่าพวกเขาจะทำร้ายพวกเจ้าในที่นั้น”
อัล-บะกอเราะฮฺ 2 :191
2. การทำสงครามเพื่อการรุกรานผู้อื่น
การรุกรานทำร้ายผู้อื่นไม่เป็นสิ่งที่อนุมัติในอิสลาม ดังปรากฏในอัลกุรอ่าน ความว่า
“ และพวกเจ้าจงต่อสู้ในทางของอัลลอฮต่อบรรดาผู้ที่ทำร้ายพวกเจ้า และจงอย่ารุกรานแท้จริง อัลลอฮไม่ทรงชอบบรรดาผู้รุกราน ”
อัล-บะกอเราะฮฺ2 : 190
ดังกล่าวเป็นการย้ำว่าอิสลามอนุมัติให้โต้ตอบได้เฉพาะกับผู้ที่ทำการสู้รบด้วยเท่านั้น บุคคลอื่นผู้ไม่เกี่ยวข้องใดๆในเหตุการณ์ มุสลิมไม่มีสิทธิ์โต้ตอบ ทำร้าย ไม่ว่าด้วยวิธีใดๆโดยเด็ดขาด
.
.
Click <<<< Part 1
Next 3 >>>>Click