อิสลามกับการทำศึก
โดย : إجلالى
บทนำ
ภาพข่าวและเหตุการณ์ความไม่สงบทาง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นที่รับทราบและผ่านสายตาเราอยู่เป็นประจำ เปลี่ยนความสงบ รื่นรมย์ เป็นความโหดร้าย รุนแรง เปลี่ยนความกังวลสงสัย เป็นความชาชินเมื่อได้ยินข่าว อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น
ไม่ว่าอะไรคือชนวนเหตุของการกระทำดังกล่าว แต่ผลลัพท์ที่ชัดเจนคือความสูญเสียของประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งชาวพุทธและชาวมุสลิม ลูกกำพร้าพ่อ ภรรยาสูญเสียสามี แม่สูญเสียลูก หลายครั้งที่มีการบิดเบือนให้ผู้คนในสังคมเข้าใจว่า ความโหดร้ายทั้งปวงมาจากน้ำมือมุสลิม มาจากคำสอนศาสนาที่ใช้ให้มีการนองเลือด ใช้ให้เป็นผู้ก่อการร้าย มีวางระเบิดที่ไหน นั่นมุสลิมทำ มีฆ่าหั่นศพที่ไหน นี่มุสลิมทำ มันยุติธรรมแล้วหรือกับการกล่าวร้ายคำสอนศาสนาที่ถูกแปดเปื้อนจากผู้ไม่รู้จริง ว่าอิสลามที่แท้แล้วสอนอะไร ห้ามสิ่งใด
ในทุกสังคม ชนชั้นไม่ว่าศาสนาใด ย่อมมีทั้งผู้ยึดมั่นตามหลักการและผู้ฝ่าฝืน มีทั้งผู้รู้และไม่รู้ มันจะไม่เป็นการดีกว่าหรือหากเราจะทำใจให้กว้างเปิดตาดู เปิดหูฟังพิจารณาข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับศาสนา ตัวบทหลักฐานที่ชัดเจน ก่อนที่เราจะเหมารวมมุสลิมทั้งหมดว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
คณะผู้จัดทำเล็งเห็นความสำคัญของกรณีดังกล่าว เพราะถือเป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และการไม่ลงรอยกันระหว่าง 2 ศาสนิกในพื้นที่ภาคใต้ จึงได้จัดทำรายงานเล่มนี้ขึ้นโดยได้ประมวลกฎเกณฑ์ กติกา ในการต่อสู้ตามคำสอนอิสลามเท่าที่สามารถ ตลอดจนเนื้อหาอื่นๆที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอิสลามคือศาสนาแห่งความสันติโดยแท้
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งที่ท่านจะได้อ่านต่อไปจะช่วยสร้างความเข้าใจอันดี ความสามัคคี และความสมานฉันท์สืบไป หากพระเจ้าทรงประสงค์
“ และอัลลอฮ จะทรงช่วยเหลือผู้ที่สนับสนุนช่วยเหลือศาสนาของพระองค์อย่างแน่นอน”
อัลฮัจญฺ 22/40
จุดกำเนิดบัญญัติว่าด้วยอนุมัติการทำสงครามในอิสลาม
“อิสลาม” ในความหมายหนึ่งนอกจากการ “ยอมจำนนต่อพระผู้อภิบาล” แล้วยังหมายถึง “สันติ” แต่การดำรงสันติอยู่ได้นั้นหาใช่การยอมถูกกดขี่โดยไม่เป็นธรรมไม่ ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติได้ชี้ให้เห็นว่าเมื่อสังคมมนุษย์ไม่อาจหลีกเลี่ยงจากการแพร่หลายของความชั่วร้ายได้ ฝ่ายอธรรมยังคงเหิมเกริมโจมตีรุกรานผู้บริสุทธิ์ การปราบปรามและพยายามปิดกั้นหนทางแทรกซึมของความชั่วเหล่านี้จึงจำเป็นต้องให้มีขึ้น โดยรูปแบบหนึ่งก็คือ การสงครามสู้รบ ประวัติศาสตร์สมัยท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ( ความสันติจงประสบแด่ท่าน) ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่า การทำสงครามตามนัยแห่งอิสลามเป็นที่อนุญาต ดังปรากฏบัญญัติในคัมภีร์อัลกุรอาน ความว่า
“สำหรับบรรดาผู้ (ที่ถูกโจมตีนั้น)ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้ได้ เพราะพวกเขาถูกข่มเหง และแท้จริงอัลลอฮฺทรงสามารถที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างแน่นอน บรรดาผู้ที่ถูกขับไล่ออกจากบ้านเรือนของพวกเขา โดยปราศจากความยุติธรรม”
อัลฮัจญ์ 22 : 39 - 40
ท่านอิบนุอับบาส (อัครสาวกท่านหนึ่ง) กล่าวว่า นี่คืออายะฮฺ (บัญญัติ) แรก ที่ถูกประทานลงมาในเรื่องของการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ (ญิฮาด)
สำหรับสถานการณ์ก่อนหน้านั้น เริ่มหลังจากที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถูกแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตของพระองค์ ท่านถูกใช้ให้ทำการเผยแพร่อย่างลับๆ การนับถือศาสนาอิสลามและการขยายวงของอิสลามจึงดำเนินไปอย่างยากลำบากเพราะต้องหลบๆซ่อนๆจากพวกผู้ปฏิเสธศรัทธาชาวมักกะฮ์ ท่านคงอยู่ในสภาพเช่นนี้เป็นระยะเวลา 3 ปี จึงได้รับอนุมัติให้เผยแพร่อย่างเปิดเผยได้ แต่การเผยแพร่อิสลามในนครมักกะฮ์ ทั้งๆ ที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน ทั้งๆที่อยู่ในหมู่เครือญาติของท่าน ท่านกลับได้รับการต่อต้านอย่างทารุณและเหี้ยมโหด พวกกุเรช (ตระกูลเครือญาติของท่านนบีในนครมักกะฮฺ) พยายามทุกวิถีทางที่จะขัดขวางไม่ให้อิสลามเติบโตแทนที่ความเชื่อเดิมๆ ที่พวกตนยึดถืออยู่ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงถูกลอบปองร้าย กลั่นแกล้งต่างๆนานา ไม่ว่าด้วยการโดนขว้างปาขับไล่ด้วยก้อนหิน ทราย การโรยเสี้ยนหนามระหว่างทาง ถูกโยนสิ่งปฏิกูล ถูกพูดจาถากถางเยาะเย้ย ล้อเลียน กล่าวหาว่าท่านวิกลจริตบ้าง เสียสติบ้าง โกหกหลอกลวงบ้าง หรือแม้กระทั่งถูกวางแผนลอบสังหาร ท่านก็ประสบมาแล้ว
ในช่วงเวลาเดียวกันบรรดาอัครสาวกของท่านก็ได้รับการทารุณกรรม ด้วยวิธีที่ไร้มนุษยธรรมเพื่อบังคับให้พวกเขาละทิ้งอิสลาม และกลับสู่ศาสนาเดิม ถึงขั้นถูกทรมานจนถึงแก่ความตายเลยทีเดียว
เหตุการณ์ดำเนินเช่นนี้เป็นระยะเวลา 13 ปี แต่กระนั้น อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ยังไม่ทรงอนุมัติให้มีการตอบโต้ ต่อสู้ใดๆ แต่ยังคงให้สนองตอบด้วยการอดทนอดกลั้น และให้เชื่อมั่นและยำเกรงในพระผู้เป็นเจ้า ในช่วงเวลาดังกล่าวแม้ผ่านไปยาวนานก็จริง แผนชั่วต่างๆของพวกปฏิเสธศรัทธาก็ยังคงไร้ผล ไม่มีใครกลับคืนศาสนาเดิมแม้แต่คนเดียว และยิ่งกลับทำให้จำนวนมุสลิมเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ ซึ่งยิ่งทำให้พวกเขาถูกรุกรานหนักขึ้น โดนรังแกไม่เลือกหน้า
พวกผู้ปฏิเสธในมักกะฮฺได้ทำร้ายบรรดามุสลิมเหล่านั้น จนกระทั่งพวกเขาพากันไปหาท่านร่อซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในสภาพของผู้ที่ถูกทุบตีและมีบาดแผลเพื่อขอความเป็นธรรม ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า “พวกท่านจงอดทนต่อไป เพราะฉันยังมิได้ถูกใช้ให้สู้รบกับพวกนั้น” จนกระทั่ง ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้รับคำสั่งให้ทำการให้ลี้ภัย อพยพย้ายถิ่นฐานสู่ดินแดนที่ปลอดภัยกว่า คือ อพยพลี้ภัยจากนครมักกะฮฺ สู่นครมาดีนะฮฺ อายะฮฺ (บัญญัติ) นี้จึงถูกประทานลงมาซึ่งเป็นอายะฮฺแรกที่อนุญาตให้ทำการต่อสู้กับการถูกข่มเหงรังแก หลังจากที่ได้ถูกห้ามมามากกว่า 70 อายะฮฺ ก่อนหน้านั้น
การสู้รบจึงเริ่มมีขึ้นภายหลังอายะฮฺนี้ถูกประทานลงมา และจำกัดวงอยู่เพียงแต่ชนเผ่ากุเรช เพราะชนเหล่านั้นได้เริ่มจุดชนวนสงครามขึ้นก่อน ครั้นเมื่อท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้อพยพไปมะดีนะฮ์ แล้วท่านก็ไม่อนุญาตให้เอาชีวิตชาวยิว ณ ที่นั้น ท่านอยู่เมืองเดียวกับชนเหล่านั้นอย่างสงบ และได้ลงนามในสนธิสัญญาพันธมิตรต่อกัน จวบจนกระทั่งชาวยิวทำการละเมิดสัญญา จึงได้มีการยกเลิกข้อผูกพันแห่งสนธิสัญญานั้นเสีย
ดังกล่าวนี้เป็นคำตอบที่กระจ่างแจ้งแล้วว่า อิสลามคือศาสนาแห่งสันติ เพราะหากการเผยแพร่ด้วยคมหอกคมดาบเป็นที่ส่งเสริมยกย่องยินดีในอิสลามแล้ว ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และสาวกของท่าน คงไม่ต้องจำทนรับการข่มเหงรังแก ตลอดจนการอธรรมทุกรูปแบบ เป็นระยะเวลายาวนานถึง 13 ปี เช่นนี้ และดังกล่าวยังชี้ให้เห็นว่าการอนุมัติให้มีการสงครามสู้รบได้นั้นก็เนื่องจากการถูกกดขี่ ข่มเหงรังแก ละเมิดเสรีภาพโดยไม่เป็นธรรมนั่นเอง
ประวัติศาสตร์สมัยท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่า การทำสงครามตามนัยแห่งอิสลามได้อนุญาตไว้เพื่อป้องกันตัวเท่านั้น และสัมพันธภาพระหว่างมุสลิมกับศาสนิกอื่นนั้นต้องตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานแห่งสันติภาพเป็นหลักเสมอ
ดังนั้น หากแม้ไม่อยากจะทำสงครามสักปานใดแต่ถ้าดังกล่าวเป็นการปล่อยให้มีการละเมิดความชอบธรรมหรือฝ่าฝืนความยุติธรรมอย่างแพร่หลายแล้ว จึงถือเป็นหน้าที่ที่มุสลิมจะต้องขจัดปัดเป่าและป้องปราม ไม่ปล่อยให้ผู้อธรรมละเมิดทำร้ายหรือเข่นฆ่าได้ตามอำเภอใจ
ดังนั้น อัลกุรอานจึงได้กำหนดสำหรับมุสลิมทุกคน ดังดำรัสของ อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ความว่า
“ การสู้รบนั้นได้ถูกกำหนดแก่พวกเจ้าแล้ว ทั้งๆที่มันเป็นที่รังเกียจแก่พวกเจ้า
และอาจเป็นไปได้ว่าการที่พวกเจ้ารังเกียจสิ่งหนึ่ง ทั้งๆที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีแก่พวกเจ้า
และก็อาจเป็นไปได้ว่าการที่พวกเจ้าชอบสิ่งหนึ่ง ทั้งๆที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เลวร้ายแก่พวกเจ้า
และอัลลอฮนั้นทรงรู้ดีแต่พวกเจ้าไม่รู้”
อัล-บะกอเราะฮ. 2 :216
Next 2 >>>>Click