หลักความศรัทธา
อุปมาผู้ที่ยึดเอาอื่นจากอัลลอฮ์ เป็นผู้คุ้มครองดั่งแมงมุมที่ชักใยทำรัง และแท้จริงรังที่บอบบางที่สุดคือรังของแมงมุม หากพวกเขารู้ (Al-Quran 29:41)
มุสลิมนั้นจะเคารพนับถือพระเจ้าองค์เดียวคือพระองค์อัลลอฮ์ ผู้สร้างแผ่นฟ้าและจักรวาลภายใน 6 วัน ผู้ควบคุมการโคจรระบบจักรวาลและโลกใบนี้ ผู้สร้างมนุษย์และทุกชีวิตบนโลกใบนี้ไม่มีใครเสมอเหมือน พระองค์ ผู้เป็นอมตะและยังพระองค์ทุกชีวิตคือการกลับไป เพื่อการพิพากษาและตัดสินในความดีและความชั่วที่ทุกคนได้ทำไว้บนโลกใบนี้ ทุกคนมีเพียงชีวิตเดียวและชีวิตนี้คือการทดสอบ
ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณา ผู้ทรงเมตตาเสมอการสรรเสริญทั้งหลายเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์ ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก
ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
ผู้ทรงอภิสิทธิ์แห่งวันตอบแทน
(Al-Quran 1:1 - 4)
พระองค์อัลลอฮ์ พระผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาล ไม่มีการสร้างรูปปั้นที่เป็นตัวแทน ไม่มีรูปภาพ ไม่มีสัญลักษณ์ที่ใช้ห้อยคอ ไม่มีการสร้างพิมพ์หรือคำต่างๆ และนำมาแขวนไว้ในที่ต่างๆ เพื่อคิดว่าตนเองจะปลอดภัย พระองค์ผู้สร้างทุกสิ่งในจักรวาล พระองค์สูงเกินกว่าที่มนุษย์จะสร้างสิ่งที่เป็นตัวแทน พระองค์อยู่ใกล้มนุษย์มากกว่าเส้นเลือดตามร่างกาย มุสลิมไม่ควรกระทำในสิ่งที่เป็นการลบหลู่และตั้งภาคีกับพระองค์ และสิ่งต่างๆที่พระองค์ทรงห้ามไว้
เจ้าอย่าคิดว่าอัลลอฮ์ทรงละเลยต่อสิ่งที่พวกอธรรมปฏิบัติ แท้จริงพระองค์ทรงประวิงเวลาให้พวกเขา จนถึงวันที่สายตาเงยจ้องไม่กระพริบ (วันกิยามะฮ์)(Al-Quran 14:42)
มนุษย์สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของพระองค์ได้ และมนุษย์ทุกคนอยู่ในสายตาของพระองค์ตลอดเวลา พระองค์ทรงรอบรู้การกระทำของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ในใจหรือเพียงแค่ความคิดทุกอย่างจะถูกบันทึกไว้ทั้งหมด มุสลิมจะวิงวอนขอความช่วยเหลือยามประสบความทุกข์เดือดร้อนต่อพระองค์ พระองค์ จะให้ในสิ่งที่ขอต่อเมื่อได้พิจารณาถึงการทำความดีของมนุษย์ ความเคารพและความศรัทธาที่มอบให้ พระองค์จะตอบรับเร็วหรือช้ารับหรือไม่รับขึ้นอยู่กับความดีและความศรัทธาเท่านั้น ซึ่งไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่าพระองค์จะตอบรับหรือไม่และเมื่อไหร่ ฉะนั้นจงเร่งทำความดีเพื่อพระองค์เถิด
และเขาเหล่านั้นไม่รู้หรือว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขาปกปิด และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผย (Al-Quran 2:77)
ความศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์ นั้นสำคัญมากเป็นอันดับแรก เพราะความศรัทธานั้นจะทำให้สามารถปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลามโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ผู้ศรัทธาจะยอมรับในทุกข้อของหลักการทางศาสนา แม้ในจิตใจนั้นจะไม่ยอมรับโดยง่ายก็ตาม แต่เมื่อมีความศรัทธาแล้วทุกอย่างจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับมุสลิมทุกคน
เขาเหล่านั้นต่างหลอกลวงอัลลอฮ์และบรรดาผู้ที่ศรัทธา และพวกเขาหาได้หลอกลวงใครไม่ นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้นแต่พวกเขาไม่รู้สึก (Al-Quran 2:9)
ผู้นับถือศาสนาอิสลามทุกคนมีหน้าที่เผยแพร่และให้ความรู้ด้านศาสนาอิสลาม เพราะมุสลิมทุกคนถือว่านี่คือหน้าที่และทำความดีเพื่อพระองค์ และเราจะรอคอยผลตอบแทนในโลกอาคิเราะมิใช่โลกดุนยา แต่พระองค์จะทรงตอบแทนบ่าวของพระองค์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
และผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี (ในโลกนี้) และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขา ที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้ (ในโลกหน้า) (Al-Quran 16:97)
หลักศรัทธาในศาสนาอิสลามมีด้วยกัน 6 ประการ
เราะซูลนั้น(นะบีมุฮัมมัด) ได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เขา จากพระเจ้าของเขา และมุมินทั้งหลายก็ศรัทธาด้วย ทุกคนศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และมลาอิกะฮ์ของพระองค์ และบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ และบรรดาเราะซูลของพระองค์(พวกเขากล่าวว่า) เราจะไม่แยกระหว่างท่านหนึ่งท่านใดจากบรรดาเราะซูลของพระองค์ และพวกเขาได้กล่าวว่าเราได้ยินแล้วและได้ปฎิบัติตามแล้ว การอภัยโทษจากพระองค์เท่านั้นที่พวกเราปรารถนา โอ้พระเจ้าของพวกเรา ! และยังพระองค์นั้นคือการกลับไป (Al-Quran 2:285)
1) ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ผู้ทรงเอกะคือ ความศรัทธา ความเป็นเอกภาพ และไม่นำสิ่งใดมาเทียบเคียงกับอัลลอฮ์ พระองค์ ไม่มีภาคีร่วมใดๆ ไม่มีสิ่งใดในจักรวาลนี้ที่จะถูกวิงวอน เคารพสักการะหรือแสดงความจงรักภักดี มีเพียงอัลลอฮ์ เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น พระองค์เป็นผู้ที่พระนามต่างๆนั้นสูงส่งยิ่ง งดงาม สง่างาม และสมบูรณ์ด้วยพระองค์เอง
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พระองค์คืออัลลอฮ์ผู้ทรงเอกะ อัลลอฮ์นั้นทรงเป็นที่พึ่ง พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ทรงถูกประสูติ และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์ (Al-Quran 112:1-4)
อาณาจักรความรู้ของพระองค์ครอบคลุมในทุกสิ่ง ทั้งสิ่งเร้นลับและสิ่งที่เปิดเผย พระองค์เป็นผู้บริหารในทุกกิจการโดยไม่พึ่งพาสิ่งถูกสร้างใดๆ ทุกสิ่งต้องพึ่งพาพระองค์ สิ่งใดที่พระองค์ทรงประสงค์ สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น สิ่งใดที่พระองค์ไม่ทรงประสงค์สิ่งนั้นไม่สามารถเกิดขึ้น พระองค์ทรงมีพลังอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง พระองค์คือผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณาปราณี และทรงให้อภัยเสมอ มีคำกล่าวของท่านเราะซูล ว่า
ความรักความเมตตาของอัลลอฮ์มากยิ่งกว่าความรักของแม่ที่มีต่อลูกเสียอีก (บันทึกโดย มุสลิม)
2) การศรัทธาในบรรดามลาอิกะฮ์
สำหรับเขามีมะลาอิกะฮ์เป็นผู้ติดตามทั้งข้างหน้าและข้างหลังเขา รักษาเขาตามพระบัญชาของอัลลอฮ์ (Al-Quran 13:11)
มลาอิกะฮ์ ถูกสร้างจากรัศมี ไม่มีเพศ ไม่กิน ไม่ดื่มไม่ปฏิเสธการทำหน้าที่รับใช้ เป็นบ่าวที่ตอบสนองคำบัญชาของอัลลอฮ์ โดยเคร่งครัดครบถ้วนทุกประการ ปราศจากการขัดขืนดื้อดึง มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ หากพระองค์ประสงค์มนุษย์จึงสามารถที่จะเห็นมลาอิกะฮ์ได้
(ท่านหญิงอาอิชะกล่าวว่า) ท่านรอซูล ได้เห็นญิบรีลเป็นรูปร่างที่แท้จริงถึงสองครั้ง(บันทึกโดย บุคอรีย์)
จนเขาได้เข้ามาอยู่(ใกล้ชิดมุฮัมมัด)ในระยะเพียงเท่ากับสองข้างของคันศร หรือใกล้กว่านั้น และอัลลอฮ์ประทานอายะฮฺแก่บ่าวของพระองค์(มุฮัมมัด) โดยผ่านญิบรีล ในสิ่งที่พระองค์(ประสงค์จะ)ประทาน ( Al-Quran 53:9-10)
ท่านนะบีมุฮัมมัด ได้เห็นมลาอิกะฮ์ในรูปร่างที่แท้จริง มีปีกถึง 600 ปีก และมีรัศมี มลาอิกะฮ์สามารถจำแลงรูปร่างเป็นมนุษย์ได้ มลาอิกะฮ์มีหน้าที่แตกต่างกัน มลาอิกะฮ์ผู้บันทึกความดีและความชั่ว ผู้นำสาสน์ไปยังบรรดาเราะซูล ผู้ปลิดวิญญาณคือมะลักแห่งความตาย ผู้ทำหน้าที่เกี่ยวกับน้ำฝนคือมีกาอีล และอีกหลายหน้าที่ ไม่มีใครนอกจากพระองค์เท่านั้นที่รู้
แท้จริงบรรดาผู้ที่มลาอิกะฮ์ได้เอาชีวิตของพวกเขาไป โดยที่พวกเขาเป็นผู้อธรรมต่อตัวพวกเขาเองนั้น มลาอิกะฮ์ได้กล่าวว่าพวกเจ้าปรากฏอยู่ในสิ่งใด พวกเขากล่าวว่าพวกเราเป็นผู้ที่ถูกนับว่าอ่อนแอในแผ่นดิน มลาอิกะฮ์กล่าวว่า แผ่นดินของอัลลอฮ์มิได้กว้างขวางดอกหรือที่พวกเจ้าจะอพยพไปอยู่ในส่วนนั้น ชนเหล่านี้แหละที่อยู่ของพวกเขาคือนรกญะฮันนัมและเป็นที่กลับไปอันชั่วร้าย (Al-Quran 4:97)
การศรัทธาต่อมลาอิกะฮ์นั้นได้ส่งผลในการดำรงชีวิต เมื่อทราบว่ามีมลาอิกะฮ์คอยจดบันทึกความดีและความชั่วอยู่ตลอดเวลาทำให้เราต้องดำเนินชีวิตด้วยความสุขุม รอบคอบ และระมัดระวัง เพื่อมิให้อยู่ในกลุ่มชนที่เป็นผู้ขาดทุน
ใครที่เคยเป็นศัตรูต่ออัลลอฮ์ และมลาอิกะฮ์ของพระองค์ และบรรดาเราะซูลของพระองค์ และเป็นศัตรูต่อญิบรีล และมีกาอีลนั้น แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นศัตรูแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย (Al-Quran 2:98)
3) ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมา
การศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์ ศรัทธาอย่างแน่วแน่ว่าคัมภีร์อัลกุรอานเป็นดำรัสของพระองค์อัลลอฮ์ เนื้อหาในคัมภีร์อัลกุรอานเป็นข้อความที่มาจากอัลลอฮ์
และเราได้ให้คัมภีร์ลงมาแก่เจ้าด้วยความจริง ในฐานะเป็นที่ยืนยันคัมภีร์ที่อยู่ก่อนหน้ามันและเป็นที่ควบคุมคัมภีร์(เบื้องหน้า)นั้น ดังนั้นเจ้าจงตัดสินระหว่างพวกเขาด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมาเถิด และจงอย่าปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเขาโดยเขาออกจากความจริงที่ได้มายังเจ้า สำหรับแต่ละประชาชาติในหมู่พวกเจ้านั้น เราได้ให้มีบทบัญญัติและแนวทางไว้ และหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์แล้วแน่นนอนก็ทรงให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติเดียวกันแต่ทว่าเพื่อที่จะทรงทดสอบพวกเจ้าในสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่พวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงแข่งขันกันในความดีทั้งหลายเถิด ยังอัลลอฮ์นั้นคือการกลับไปของพวกเจ้าทั้งหมด แล้วพระองค์จะทรงแจ้งให้พวกเจ้าทราบในสิ่งที่พวกเจ้ากำลังขัดแย้งกัน ในสิ่งนั้น (Al-Quran 5:48)
อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่มาจากฟากฟ้าเล่มสุดท้าย เป็นคัมภีร์ที่ประเสริฐและยิ่งใหญ่ที่สุด สมบูรณ์ที่สุดเป็นคำสั่งสอนแก่มวลมนุษย์ ทุกคนต้องศรัทธาและปฏิบัติตามบัญญัติต่างๆในอัลกุรอานโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ อัลกุรอานเป็นทางนำที่เที่ยงตรง พระองค์อัลลอฮ์ จะปกปักษ์รักษาอัลกุรอานด้วยพระองค์เอง อัลกุรอานจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขใดๆ
แท้จริงเราได้ให้ขอตักเตือน(อัลกุรอาน)ลงมา และแท้จริงเราเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน (Al-Quran 15:9)
คัมภีร์นี้ ไม่มีความสงสัยใดๆในนั้น เป็นคำแนะนำสำหรับบรรดาผู้ยำเกรงเท่านั้น (Al-Quran 2:2)
ไม่ว่าจะพิมพ์ที่โรงพิมพ์ไหนตั้งอยู่ประเทศใดก็ตามถ้ามีการพิมพ์อักษรอาหรับในคัมภีร์อัลกุรอานผิดแม้เพียงตัวอักษรเดียวจะต้องเรียกเก็บคืนอัลกุรอานทั้งหมดเพื่อนำมาแก้ไข และถ้ามีการแปลความหมายในคัมภีร์อัลกุรอานผิดหรือบิดเบือนคัมภีร์ ผู้พิมพ์จะต้องรับผิดชอบโดยการเรียกคืนอัลกุรอานทั้งหมดเพื่อแก้ไขให้ถูกต้องเช่นกัน
......และหัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง พวกเขากระทำการบิดเบือนบรรดาถ้อยคำให้เฉออกจากตำแหน่งของมัน และลืมส่วนหนึ่งจากสิ่งที่พวกเขาถูกเตือนไว้ และเจ้าก็ยังคงมองเห็นอยู่ในการคดโกงจากพวกเขา นอกจากเพียงเล็กน้อยในหมู่พวกเขาเท่านั้น จงอภัยให้แก่พวกเขาเถิด และจงเมินหน้าเสีย แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงชอบผู้ทำดีทั้งหลาย (Al-Quran 5:13)
4) ศรัทธาในบรรดานะบีและเราะซูล
มุสลิมต้องศรัทธาต่อศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ทุกท่านที่ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานในฐานะผู้นำสาสน์จากอัลลอฮ์ เพื่อสั่งสอนตักเตือนมวลมนุษย์ชาติ ท่านเราะซูลมุฮัมมัด เป็นศาสนทูตท่านสุดท้ายที่นำคำบัญญัติจากคัมภีร์อัลกุรอานมาเผยแพร่ เพื่อเป็นทางนำที่ถูกต้องแก่มนุษย์ชาติ
แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฎิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และบรรดาเราะซูลของพระองค์และต้องการที่จะแยกระหว่างอัลลอฮ์ และบรรดาเราะซูลของพระองค์ และกล่าวว่าเราศรัทธาในบางคน และปฏิเสธศรัทธาในบางคน และพวกเขาต้องการที่จะยึดเอาในระหว่างนั้น ซึ่งทางใดทางหนึ่ง ชนเหล่านั้นแหละคือผู้ปฏิเสธศรัทธาโดยแท้จริง และเราได้เตรียมไว้แล้ว ซึ่งการลงโทษที่ยังความอัปยศแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย (Al-Quran 4:150-151)
ต้องเชื่อและศรัทธาในสิ่งที่เป็นมัวะญิซาด(สิ่งที่เหนือธรรมชาติ)ของบรรดานะบีที่อัลลอฮ์ ได้ประทานให้เป็นปฏิหาริย์ และอัลลอฮ์ ได้แสดงให้นะบีแต่ละท่านได้เห็นและเข้าใจ นี่คือบางส่วนของปฏิหาริย์ที่นำมาบอกกล่าว
ท่านนะบีอิบรอฮิม อะลัยฮิสลาม ให้อัลลอฮ์ แสดงปฏิหารย์ว่าพระองค์จะทำให้คนตายแล้วฟื้นได้อย่างไร
........พระองค์ตรัสว่า เจ้าจงเอานกมาสี่ตัวแล้วจงเลี้ยงมันให้คุ้นกับเจ้า แล้วตัดมันออกเป็นท่อนๆ ภายหลังเจ้าจงวางไว้บนภูเขาทุกลูก ซึ่งส่วนหนึ่งจากนกเหล่านั้นแล้วจงเรียกมัน มันก็จะมายังเจ้าโดยรีบเร่ง และพึงรู้ไว้เถิดว่าแท้จริงอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ (Al-Quran 2:260)
ปฏิหารย์ท่านนะบีมูซา อะลัยฮิสลาม คือการแยกทะเลให้วงค์วานอิสรออิลข้ามเพื่อหนีการตามฆ่าของฟิรเอาวน์
จงรำลึกขณะที่เราได้แยกทะเลออกเพราะพวกเจ้า แล้วเราได้ช่วยให้พวกเจ้าได้รอดพ้น และได้ให้พวกฟิรเอาวน์จมน้ำตาย ขณะที่พวกเจ้ามองดูอยู่(Al-Quran 2:50)
ท่านนะบีอีซา(เยซู) อะลัยฮิสลาม เกิดมาจากพระนางมัรยัมที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย
.....และเราได้ให้หลักฐานต่างๆอันชัดเจนแก่อีซาบุตรของมัรยัม และเราได้สนับสนุนเขาด้วยวิญญาณอันบริสุทธิ์...... ( Al-Quran 2:87)
ท่านนะบีมุฮัมมัด เป็นเราะซูลท่านสุดท้ายซึ่งได้รับคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์เล่มสุดท้าย และนำมาตักเตือนมุมินให้อยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรง
พระองค์ได้ทรงประทานคัมภีร์นั้นลงมาแก่เจ้าเป็นครั้งคราว พร้อมด้วยความจริง เพื่อยืนยันคัมภีร์ที่อยู่เบื้องหน้าคัมภีร์นั้น..... ( Al-Quran 3:3)
และโดยแน่นอนเราได้ส่งเราะซูลมาในทุกประชาชาติ(โดยบัญชาว่า) พวกท่านจงเคารพภักดีอัลลอฮ์ และจงหลีกหนีให้ห่างจากพวกเจว็ด ดังนั้น ในหมู่พวกเขามีผู้ที่อัลลอฮ์ทรงชี้แนะทางให้และในหมู่พวกเขามีผู้ที่การหลงผิดคู่ควรแก่เขา ฉะนั้น พวกเจ้าจงตระเวนไปในแผ่นดิน แล้วจงดูว่าบั้นปลายของผู้ปฏิเสธนั้นเป็นเช่นไร (Al-Quran 16:36)
5) ศรัทธาต่อวันสิ้นโลกและการเกิดใหม่ในปรโลก
คือ การศรัทธาอย่างแน่วแน่ในทุกสิ่งที่อัลลอฮ์ และเราะซูล ได้กล่าวไว้เรื่องการฟื้นคืนชีพ การไล่ต้อนมนุษย์ไปยังสนามรวม (มะห์ชัร) การสอบสวน ณ สะพานศิรอฏ์ ตาชั่งวัดความดีความชั่ว สวนสวรรค์ นรก และอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันอาคิเราะฮ์ ที่เป็นสัญลักษณ์ในวันสิ้นโลก ตลอดจนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังความตายคือ การถูกทรมานและการได้รับความสุขในหลุมฝังศพ
แต่ละชีวิตนั้นจะได้ลิ้มรสแห่งความตาย และแท้จริงที่พวกเจ้าจะได้รับรางวัลของพวกเจ้าโดยครบถ้วนนั้นคือ วันปรโลก แล้วผู้ใดที่ถูกให้ห่างไกลจากไฟนรก และถูกให้เข้าสวรรค์แล้วไซร้แน่นอน เขาก็ชนะแล้ว..... (Al-Quran 3:185)
วันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์ จะทรงให้ทุกสรรพสิ่งได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งเพื่อการสอบสวนและตอบแทน การที่ได้ชื่อว่า อัล-เยาม์ อัล-อาคิรฺ (แปลว่า วันสุดท้าย) อันเนื่องมาจากไม่มีวันใดอีกแล้วหลังจากวันดังกล่าวนี้ เพราะชาวสวรรค์คือผู้ศรัทธาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์ไม่มีวันสิ้นสุด และชาวนรกคือผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาจะพำนักอยู่ในนรกตลอดกาล
วันซึ่งแผ่นดินจะถูกเปลี่ยนเป็นอื่นจากแผ่นดินนี้ และชั้นฟ้าทั้งหลาย (ก็เช่นเดียวกัน) พวกเขาจะปรากฏตัวต่อหน้าอัลลอฮ์ ผู้ทรงเอกะ ผู้ทรงพิชิต (Al- Quran 14:48)
วันที่ทุกคนจะต้องได้รับการตัดสินไม่ว่าความดีหรือความชั่ว มนุษย์นั้นไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม ทุกคนมีความเชื่ออยู่แล้วว่าโลกใบนี้จะต้องถึงวันแตกสลายทุกชีวิตจะต้องตาย ไม่มีชีวิตไหนที่รอดพ้น หากแม้นว่าไม่มีการตัดสินคนที่ทำความชั่วอย่างมากมายสั่งฆ่าผู้บริสุทธิ์ โกงกินบ้านเมืองและยังไม่ได้ชดใช้กรรมเลย เขาก็ตายเสียแล้ว ใครจะเป็นผู้ตัดสินให้พวกเขาชดใช้ในสิ่งที่เขากระทำ อัลลอฮ์ เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
และพวกเจ้า จงยำเกรงวันหนึ่ง (วันสิ้นโลก) ซึ่งพวกเจ้าจะถูกนำกลับไปยังอัลลอฮ์และในวันนั้น แต่ละชีวิตจะถูกตอบแทนเต็มโดยครบถ้วน ตามที่ชีวิตนั้นได้แสวงหาไว้และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรม (Al- Quran 2:281)
6) ศรัทธาในการกำหนดสภาวะการณ์ของอัลลอฮ์ (กอฎอรกอดัร)
แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงให้เมล็ดพืชและเมล็ดอินทผลัมปริออก ทรงให้สิ่งที่มีชีวิตออกจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต และทรงให้สิ่งที่ไม่มีชีวิตออกจากสิ่งมีชีวิต นั่นแหละคืออัลลอฮ์ แล้วอย่างไรเล่าที่พวกเจ้าถูกหันเหไป (Al- Quran 6:95)
ทุกชีวิตเกิดมาพระองค์ทรงลิขิตทุกอย่างไว้แล้ว รูปร่าง หน้าตา ทรัพย์สิน ความเป็นอยู่ ความจน ความรวย กำหนดการตาย สิ่งเหล่านี้คือบททดสอบที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ให้ มนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ พระองค์บันทึกการกระทำทั้งหมดที่เกิดขึ้น ที่ยังไม่เกิดขึ้น และที่กำลังจะเกิดขึ้น
และสำหรับแต่ละประชาชาตินั้นมีกำหนดเวลาหนึ่ง ครั้นเมื่อกำหนดเวลาของพวกเขามาแล้ว พวกเขาจะขอให้ล่าช้าไปสักชั่วโมงหนึ่งก็ไม่ได้ และจะขอให้เร็วไป(สักชั่วโมงหนึ่ง)ก็ไม่ได้ (Al- Quran 7:34)
มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกในการทำความดีหรือความชั่ว การวิงวอนและปฏิบัติตามคำสั่งสอนในอัลกุรอานเท่านั้น ที่จะทำให้พระองค์ทรงตัดสินว่าจะช่วยเหลือมนุษย์ผู้นั้นหรือไม่ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระองค์อัลลอฮ์ แต่เพียงพระองค์เดียว อัลลอฮ์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่เป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่งทั้งสิ่งเร้นลับ และเปิดเผย
จงกล่าว(วอนขอ)เถิด ฉันขอความคุ้มครองจากองค์อภิบาลแห่งรุ่งอรุณให้พ้นจาก ความเลวร้ายของสิ่งที่พระองค์ได้ทรงบันดาลไว้...... ( Al- Quran 113:1-3)Next >>>>Click