ปัญหาของภาคใต้
  จำนวนคนเข้าชม  12013

ปัญหาของภาคใต้


“และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมด และจงอย่าแตกแยกกัน และจงลำรึกถึงความเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีแด่พวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงให้สนิทสนมกันระหว่างหัวใจของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าก็กลายเป็นพี่น้องกันด้วยความเมตตาของอัลลอฮ์ และพวกเจ้าเคยปรากฏอยู่บนปากหลุมแห่งไฟนรก แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากปากหลุมแห่งนรกนั้น ทำนองนั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงแจกแจงแก่พวกเจ้าซึ่งบรรดาโองการของพระองค์เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง” (Al-Quran 3:103)


          จังหวัดชายแดนทางภาคใต้ซึ่งเคยมีแต่ความสงบสุข เป็นผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและเศรษฐกิจที่รุ่งเรือง ซึ่งไม่มีภาคไหนในประเทศไทยที่มีทุกอย่างครบสมบูรณ์เท่าภาคใต้ พระองค์ทรงให้ความอุดมสมบูรณ์แด่กลุ่มชนผู้ศรัทธา


“แท้จริงอัลลอฮ์ไม่ทรงพิจารณาที่รูปร่าง หน้าตาของพวกท่าน แต่พระองค์จะทรงพิจารณาที่หัวใจของพวกท่าน” (บันทึกโดย  มุสลิม)


          เมื่อก่อนเวลาฟังข่าวทางภาคใต้จะไม่รู้สึกอะไรถึงคนที่โดนฆ่าตายไป และชอบสนับสนุนให้รัฐบาลใช้ความรุนแรงปราบปราม แต่เดี๋ยวนี้เวลาที่ได้รับรู้ข่าวสารทางภาคใต้จะมีความรู้สึกสงสารและร้องไห้ทุกครั้ง เมื่อมีชาวไทยมุสลิมหรือชาวไทยพุทธต้องเสียชีวิตให้กับเหตุการณ์อันเลวร้าย ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในภาคใต้ที่สงบสุข แต่ก่อนนั้นไม่ว่าใครจะตายที่ไหนไม่เคยสนใจ จนบางครั้งยังนึกเลยว่าพวกเขาสมควรตาย คงจะเป็นความรู้สึกเหมือนกับหลายๆ คนในตอนนี้ที่ไม่เข้าใจในศาสนาอิสลามและก็ไม่ยอมที่จะศึกษา แต่ตอนนี้ความรู้สึกที่รับรู้มีแต่ความเศร้าโศก ความปวดร้าว เมื่อได้ยินข่าวของการฆ่าพี่น้องมุสลิม ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือต่างประเทศ


“หากมนุษย์มีหุบเขาทองคำหนึ่งแห่ง เขาก็อยากจะมีอีกสองแห่ง และจะไม่มีอะไรเต็มปากของเขา นอกจากดินเท่านั้น และอัลลอฮ์ทรงให้อภัยแก่ผู้ขออภัยต่อพระองค์” (บันทึกโดย  บุคอรีย์และมุสลิม)


          พระองค์อัลลอฮ์   ได้ทรงสอนให้ยุซรอเผื่อแผ่ความรักให้กับมนุษย์ทุกคน เพราะเราเกิดมาจากดินเหมือนกันเรานั้นมีค่าและเท่าเทียมกัน แต่ตอนนี้ทางจังหวัดชายแดนใต้ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม ผู้ที่ศรัทธาในพระองค์อัลลอฮ์   พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นเริ่มไขว้เขวกับแผนการของชัยฏอน มารร้าย


“ ผู้ใดได้พบกับแนวทางที่ถูกต้อง แท้จริงเขาจะอยู่ในทางนั้นเพื่อตัวเขาเอง และผู้ใดหลง แท้จริงเขาจะหลงต่อตัวเขาเอง ” (Al-Quran17:15)


          จากประสบการณ์ในการเดินทางไปทำงานในแต่ละภาคของประเทศไทย ทำให้ได้รับรู้ถึงเศรษฐกิจและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ความสมบูรณ์ของเศรษฐกิจและวัฒนธรรมทางภาคใต้นั้นเข้มแข็งและแข็งแกร่งกว่าทุกภาค พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ไม่เคยเกิดอุทกภัยหรือภัยธรรมชาติที่ร้ายแรง พื้นที่ส่วนใหญ่เพาะปลูกสวนยางพาราและสวนปาล์มไม้ยืนต้นซึ่งสามารถเก็บผลผลิตได้ทั้งปีไม่เดือดร้อนจากพิษเศรษฐกิจมากมายนัก ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ทำให้มีสิ่งที่เป็นอบายมุขและการค้ากามารมณ์นั้นน้อยมาก ปัญหาอาชญากรรมต่างๆหรืออุบัติเหตุมีสถิติที่น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นตามภาคต่างๆ แต่แล้วสิ่งต่างๆที่เป็นความสงบสุข กลับมาพังทลาย การบิดเบือนคำสอนของศาสนา การยุยงให้มุสลิมแตกแยก การฆ่าพี่น้องมุสลิมด้วยกันเอง การไม่สนใจกันของประชาชนในพื้นที่ การขาดซึ่งความสามัคคี ความเห็นแก่ตัวของผู้ใช้อำนาจในทางที่ผิดบางกลุ่ม ทำให้ภาคใต้ที่เคยสงบสุขและมีเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู ได้พังทลายลงมา

 
“หรือว่าพวกเขาได้ยึดถือเอาคนอื่นจากพระองค์เป็นผู้คุ้มครอง แต่อัลลอฮ์คือผู้คุ้มครองและพระองค์คือผู้ทรงให้ชีวิตแก่คนตาย และพระองค์คือผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ” (Al-Quran 42:9)


“ คือบรรดาพวกที่ยึดเอาศาสนาของพวกเขาเป็นสิ่งให้ความเพลิดเพลิน และเป็นของเล่นและชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ก็ได้หลอกลวงพวกเขาด้วย ดังนั้นในวันนี้เราจะลืมพวกเขาบ้าง ดังที่พวกเขาลืมการพบกับวันของพวกเขานี้ และการที่พวกเขาปฏิเสธบรรดาโองการของเรา ” (Al-Quran 7:51)


          ผู้ที่สำเร็จการศึกษาทางศาสนาจากประเทศอาหรับแต่ไม่สามารถช่วยให้พี่น้องมุสลิมในพื้นที่เข้าใจข้อเท็จจริงของศาสนาได้ ไม่สามารถทำให้พี่น้องมุสลิมสามัคคี ปรองดองกันได้ คงจะไม่มีคุณค่ากับที่ได้ไปร่ำเรียนมา แล้วผู้มีความรู้เหล่านี้จะตอบอย่างไรกับพระองค์ในวันแห่งการสอบสวน นักวิชาการแต่ละกลุ่มมักอ้างว่ากลุ่มของตนเองนั้นถูกต้องตามหลักการ กลุ่มของตนเองนั้นจะได้เข้าสวรรค์ พวกท่านรู้ได้อย่างไร พวกท่านมั่นใจอย่างนั้นหรือ ? อัลลอฮ์   เท่านั้นที่รู้ วัลลอฮุ อะอฺลัม ทุกกลุ่มอ้างว่าตนเองยืนหยัดเพื่อศาสนา เพราะฉะนั้นโปรดกลับมาสามัคคีและร่วมมือกันเพื่อศาสนาอันบริสุทธิ์ของพระองค์อัลลอฮ์   เถิด


“ที่ดียิ่งแห่งกิจการทั้งหลาย คือกิตาบุลลอฮ์ และที่ดียิ่งแห่งแนวทางนั้นคือ แนวทางของมุฮัมมัด และกิจการที่เลวยิ่งคือที่คิดกันขึ้นมาใหม่ และทุกช่องที่บิดอะฮ์เป็นการหลงผิด” (บันทึกโดย  อิบนุมาญะฮ์)


          เหตุรุนแรงในภาคใต้นั้นได้มีการปล่อยข่าวให้เกิดความระแวงและสงสัยกันเอง แม้แต่เจ้าหน้าที่ ที่ทำหน้าที่อยู่ในพื้นที่ไม่ทราบว่าท่านเข้าใจหลักการทางศาสนาอิสลามหรือไม่ แต่ที่น่าเศร้าคือบุคคลคนที่มีอัลกุรอาน แต่กลับไม่ใช้อัลกุรอานมาเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่างๆ


“มีคัมภีร์ฉบับหนึ่งซึ่งถูกประทานลงมาแก่เจ้า ดังนั้นจงอย่าให้ความอึดอัดเนื่องจากคัมภีร์นั้นมีอยู่ในหัวอกของเจ้า ทั้งนี้เพื่อเจ้าจะได้ใช้คัมภีร์นั้นตักเตือน(ผู้คน) เพื่อเป็นข้อเตือนใจแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย” (Al-Quran 7:2)


           ผู้นำศาสนาบางท่าน ทำไมถึงปล่อยให้มีการบิดเบือนศาสนาอันบริสุทธิ์ของพระองค์อัลลอฮ์    ทำไมถึงปล่อยให้มีการกล่าวร้ายป้ายสีกันเอง ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมที่อยู่ภาคไหนของประเทศไทย ส่วนไหนของโลก พวกเรานับถือศาสนาอิสลามเหมือนกัน อย่าก่อความแตกแยกในกลุ่มชนเลย บุคลิกของผู้นำทางศาสนาต้องเป็นแบบฉบับมาจากท่านนะบีมุฮัมมัด   เพราะฉะนั้นพี่น้องมุสลิมควรพิจารณาดูว่าผู้ที่กำลังสอนศาสนาที่ท่านเชื่อและฟังอยู่นั้น ได้นำแบบฉบับของท่านนะบีมาใช้หรือไม่ ท่านนะบีมุฮัมมัด   ไม่พูดเท็จ ไม่พูดจาก้าวร้าว ไม่ใส่ร้ายป้ายสี ไม่พูดจาเหยียดหยามและ ไม่ฮุก่มพี่น้องด้วยกันเอง ท่านสุภาพ อ่อนโยน นอบน้อม และ อดทน


“ไฉนเล่าผู้ที่รู้แจ้งในอัลลอฮ์ และนักปราชญ์เหล่านั้นจึงไม่ห้ามพวกเขา ในการที่พวกเขาพูดในสิ่งที่เป็นบาป และในการที่พวกเขากินสิ่งที่ต้องห้าม ช่างเลวจริงๆสิ่งที่พวกเขาทำ” (Al-Quran 5:63)


           คนใต้ส่วนใหญ่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ลูกหลานได้เรียนหนังสือและศึกษาหาความรู้ เห็นได้จากการที่มีนักศึกษาจากทางภาคใต้มาศึกษาตามสถาบันต่างๆ ทั้ง มหาวิทยาลัยเปิดและมหาวิทยาลัยปิด  นิสัยที่ดีเยี่ยมของคนภาคใต้คือการรักพวกพ้อง แต่ตอนนี้พวกท่านกำลังทำร้ายและเข่นฆ่ากันเองโดยไม่มองว่าเป็นพวกไหน


“ผู้ใดในหมู่พวกท่านเห็นความชั่ว ก็จงเปลี่ยนแปลงมันด้วยมือ หากไม่มีความสามารถก็จงตักเตือนด้วยวาจา ถ้ายังไม่สามารถทำได้อีกก็ให้คัดค้านด้วยใจ และนั่นคือระดับต่ำสุดของการศรัทธา” (บันทึกโดย มุสลิม)


“ และหากพวกท่านเชื่อฟังปฏิบัติตามมนุษย์ธรรมดาเช่นเดียวกับพวกท่าน ดังนั้นแน่นอนพวกท่านเป็นผู้ขาดทุน ” (Al-Quran 23:34)


          พวกท่านกำลังทำอะไรกันอยู่ หรือว่าพวกท่านไม่ได้มีความรักกันในกลุ่มชนพี่น้องมุสลิม และไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางของอัลอิสลาม ตามแบบฉบับของท่านนะบี   พวกท่านกำลังบิดเบือนศาสนาหรือว่าปฏิเสธศรัทธา ทุกท่านผู้มีปัญญา ผู้มีอัลกุรอานอยู่ในจิตวิญญาณได้โปรดอธิบายให้พี่น้องด้วยกันเองเข้าใจ ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาเพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องมุสลิมด้วยกันเอง เพื่อให้ศาสนาอิสลามกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม เวลายุซรอถามเพื่อนมุสลิมที่อยู่ทางใต้ว่า เมื่อไหร่ปัญหาทางภาคใต้ถึงจะจบเสียที พวกเขาเหล่านั้นจะตอบมาเหมือนกันหมดว่า          “อินชาอัลลอฮ์” หมายถึง หากพระองค์ทรงประสงค์  แต่สำหรับพระองค์อัลลอฮ์   คงจะบอกพวกท่านอย่างเดียวกับที่พระองค์ได้บอกกลุ่มชนทั้งหลายว่า


“ ....แท้จริงอัลลอฮ์จะมิทรงเปลี่ยนแปลงสภาพของชนกลุ่มใดจนกว่า พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสภาพของพวกเขาเอง และเมื่ออัลลอฮ์ทรงปรารถนาความทุกข์แก่ชนกลุ่มใด ก็จะไม่มีผู้ตอบโต้พระองค์ และสำหรับเขาจะไม่มีผู้ช่วยเหลือนอกจากพระองค์ ”(Al-Quran 13:11)


          ยุซรออยากให้ภาคใต้กลับสู่ความสงบสุขและสันติ  เพราะผู้ที่ทุกข์ระทมคือผู้หญิงที่ต้องสูญเสียสามี ผู้หญิงที่ควรได้รับการปกป้องและเด็กๆที่ควรได้รับการดูแลจากพ่อของเขา ตอนนี้มีผู้หญิงหม้ายและเด็กกำพร้ามากมาย ทำไมนะพวกท่านถึงไม่สงสารพี่น้องมุสลิมด้วยกันเองบ้าง 


“และพึงรู้เถิดว่า แท้จริงทรัพย์สินของพวกเจ้าและลูกๆของพวกเจ้านั้น เป็นสิ่งทดสอบชนิดหนึ่งเท่านั้น และแท้จริงอัลลอฮ์นั้น ณ พระองค์มีรางวัลอันใหญ่หลวง” (Al-Quran 8:28)


          รัฐบาลกี่ยุคกี่สมัยมาแล้วที่ใช้เงินหว่านซื้อผู้คนไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่ประสบความสำเร็จในการบริหารและแก้ปัญหาภาคใต้ได้ด้วยเงิน แล้วปัญหายิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อผู้ศรัทธาสูญหายโดยไร้ร่องรอย แต่ไม่สามารถจับโจรได้ทั้งๆ ที่เป็นข่าวใหญ่โต ประชาชนถูกยิงในมัสยิดตายกันเกือบร้อยไม่สามารถเอาผิดใครได้ ทั้งๆที่เราก็ทราบกันดีว่าใครที่เป็นผู้บัญชาการ และยังมีผู้บริสุทธิ์ต้องตายกันอีกมากมายทั้งคนไทยมุสลิม และไทยพุทธ


“ แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า เมื่อเราได้ชุมนุมพวกเขาไว้สำหรับวันหนึ่ง ซึ่งในวันนั้นไม่มีการสงสัยใดๆ และแต่ละชีวิตจะถูกตอบแทนอย่างครบถ้วนในสิ่งที่ชีวิตนั้นได้แสวงหาไว้ โดยที่พวกเขาจะไม่ถูกอธรรม ”(Al-Quran 3:25)


          มนุษย์ขายตัวเองให้เป็นทาสของเงิน พวกที่มีตำแหน่งใหญ่โตทั้งหลายถูกซื้อด้วยเงิน เกียรติยศ ศักดิ์ศรีซื้อหาได้ด้วยเงิน โดยไม่เคยคิดที่จะตอบแทนแผ่นดินที่ได้อยู่อาศัย ชาวบ้านถูกซื้อด้วยเงิน การรอคอยเงินที่จะแจกให้ การบริหารที่หลายคนยังชื่นชมแม้แต่ปัจจุบันยังมีพวกตาบอด หูหนวก โดยเอาเงินปิดหู ปิดตา ปิดปาก เพื่อกล่าวชมเชยหรือออกมาเรียกร้องให้กลับมาบริหารประเทศ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คนเหล่านั้นถึงจะรู้จักคำว่า “ พอ ” และเมื่อไหร่ถึงจะตาสว่างกันเสียที หรือพวกเขามองแค่เศษเงินเพียงน้อยนิดที่เขาหยิบยื่นให้เท่านั้น ทำไมราคาค่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขาช่างถูกเสียนี่กระไร เงินเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความเสียหายของประเทศชาตินั้นไม่สามารถเทียบได้เลย


“อัลลอฮ์ได้ประทับตราบนหัวใจของพวกเขา และบนหูของพวกเขาแล้ว และบนตาของพวกเขาก็มีสิ่งบดบังอยู่ และเขาเหล่านั้นจะได้รักการลงโทษอันมหันต์”     (Al-Quran 2:7)


“แท้จริงอัลลอฮ์จะประวิงเวลาไว้สำหรับผู้อธรรม แต่เมื่อพระองค์ลงโทษเขาแล้วเขาก็จะไม่รอดพ้นไปได้”  (บันทึกโดย บุคอรีย์และมุสลิม)


         และเมื่อถึงวันตัดสิน (วันกิยามะฮ์) เงินจะไม่มีความหมายอีกต่อไป รัฐบาลจะใช้เวลาในการแก้ปัญหาอีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ โดยส่วนมากมุสลิมที่เสียชีวิตจะเป็นเด็กวัยรุ่นหรือบุคคลวัยทำงานเป็นกำลังของครอบครัว สื่อมวลชนทั้งหลายเคยเข้าไปดูกันบ้างไหม เมื่อเสาหลักในครอบครัวได้เสียชีวิตพวกเขาดำเนินวิถีชีวิตกันอย่างไร เด็กๆ อยู่กันอย่างไร การศึกษาเป็นอย่างไร ผู้หญิงหม้ายที่ต้องเลี้ยงดูครอบครัวของพวกเธอเองนั้นประสบปัญหาอะไร


“หรือดั่งฝนที่หล่นลงมาจากฟากฟ้า โดยที่ในฝนนั้นมีทั้งบรรดาความมืด ฟ้าคำรณและฟ้าแลบ พวกเขาจึงเอานิ้วมือของพวกเขาอุดหูพวกเขาไว้เนื่องจากฟ้าผ่า ทั้งนี้เพราะความกลัวตาย และอัลลอฮ์นั้นทรงล้อม พวกปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นไว้” (Al-Quran 2:19)


          การสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาโรงเรียนสถานศึกษาของเด็กๆ อยากให้ทำด้วยความจริงใจ และควรให้ความรู้การศึกษาแก่พวกเขาเหล่านั้นอย่างจริงจัง การสร้างอาคารเรียนก็ควรสร้างแบบถาวรและแข็งแรง


“คนที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่านคือ คนที่เรียนอัลกุรอานและสอนอัลกุรอาน”  (บันทึกโดย บุคอรีย์และมุสลิม)


          ไม่ควรทุ่มเทเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการสร้างโรงงาน ในขณะที่เหตุการณ์ต่างๆ ยังไม่สงบ ถึงแม้จะสร้างโรงงานสัก 100 แห่งแต่ถ้าไม่มีใครสามารถเดินทางไปทำงานได้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร องค์กรที่มีส่วนในการแก้ไขปัญหาควรที่จะศึกษาถึงวิถีชีวิตของมุสลิมอย่างจริงจัง สภาพเศรษฐกิจทางภาคใต้ตามชายแดนมาเลเซียนั้นดีอยู่แล้ว การฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจคือทำให้มีความสงบในภาคใต้ เพียงแค่ความสงบ ความสันติจะส่งผลถึงเศรษฐกิจโดยรวมไม่เฉพาะแต่ภาคใต้เพียงภาคเดียว มันส่งผลถึงเศรษฐกิจโดยรวมทั้งประเทศไทย ควรจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมิใช่ปลายเหตุ


“โดยที่พวกเขาลังเลใจในระหว่านั้น จะไปทางพวกนี้ก็ไม่ไป จะไปทางพวกนั้นก็ไม่ไป และผู้ใดที่อัลลอฮ์ให้หลงทางแล้ว เจ้าก็จะไม่พบทางใดๆ สำหรับเขาเป็นอันขาด ”(Al-Quran 4:143)


          เรื่องตราอาหารฮาลาลที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ความน่าเชื่อถือก็เสื่อมถอย เพราะอะไร ถ้าไม่ใช่ “ช่องทางพิเศษ” เมื่อใดที่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาในการคอรัปชั่น เศรษฐกิจและสังคมจะไม่สามารถฟื้นคืนได้ เพราะมีผู้บริหารประเทศบางคนที่ยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่  ยุซรออยากให้พี่น้องมุสลิมที่มีความรู้ ความสามารถ เป็นผู้ที่ยึดถืออัลกุรอานและซุนนะฮ์ย่างแท้จริงเข้าไปบริหารกิจการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพี่น้องมุสลิม มิใช่ให้ใครมาดูแลก็ได้โดยที่พวกเขาไม่เข้าใจถึงกฎหมาย  หลักความสำคัญ กฎระเบียบ และการปฏิบัติของศาสนาอิสลาม อยากเรียกร้องให้พี่น้องมุสลิมที่กำลังหลงผิดอยู่ในอำนาจเงินตกเป็นเบี้ยล่างให้กับคนบางกลุ่มที่คิดร้ายและไม่หวังดีต่อศาสนาอิสลามหันกลับมามองพี่น้องมุสลิมด้วยกันเอง และพัฒนาเศรษฐกิจของมุสลิมให้เจริญเติบโต  พี่น้องมุสลิมที่พระองค์อัลลอฮ์   ให้ท่านสุขสบาย พวกท่านยิ่งต้องปฎิบัติตนให้อยู่ในกรอบหลักการของคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะฮ์ เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสังคมมุสลิม ช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมด้วยกัน ซึ่งเป็นการขอบคุณต่อพระองค์อัลลอฮ์   ที่ดีที่สุด


“ แท้จริงผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น ทรัพย์สมบัติของพวกเขาและลูกๆของพวกเขานั้น จะไม่อำนวยประโยชน์ของพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้แต่อย่างใดเลย และชนเหล่านี้แหละคือเชื้อเพลิงแห่งไฟนรก ” (Al-Quran 3:10)


          ควรสร้างความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในอัลกุรอาน และหลักปฏิบัติของศาสนาอิสลามให้แก่เหล่าทหาร เจ้าหน้าที่ ก่อนที่จะลงไปปฏิบัติงานทางภาคใต้เพื่อทำให้รู้ว่า อันที่จริงแล้วพื้นฐานหลักความศรัทธาของมุสลิมคืออะไร ทำไมจึงศรัทธาพระเจ้า ทำไมแนวคิดของมุสลิมถึงคิดแตกต่างกับชาวพุทธ เพราะชาวไทยพุทธกับชาวไทยมุสลิมคิดกันคนละทาง มองกันคนละมุม ถ้าผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ลงพื้นที่จริงแล้วยังไม่สามารถเข้าใจถึงวิถีการดำเนินชีวิต และความคิดของคนในท้องที่แล้วจะแก้ปัญหากันได้อย่างไร อย่างไรก็ตามคนที่ศึกษาศาสนาอิสลามไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนศาสนา เพราะยุซรอเห็นคนไทยพุทธที่มาศึกษาศาสนาอิสลามแต่พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนเข้ามารับอิสลาม ไม่ว่าพวกเขาจะศึกษาและเข้าใจมากขนาดไหนก็ตาม อัลลอฮ์   พระองค์เดียวเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชี้ทางนำแห่งแสงสว่างให้กับพวกเขา


“อุปมาพวกเขานั้น ดังผู้ที่จุดไฟขึ้น ครั้นเมื่อไฟได้ให้แสงสว่างแก่สิ่งที่อยู่รอบๆตัวเขา อัลลอฮ์ก็ทรงนำเอาแสงสว่างจากพวกเขาไป และปล่อยพวกเขาไว้ในบรรดาความมืด ซึ่งพวกเขาไม่สามารถจะมองเห็นได้” (Al-Quran 2:17)


          การศึกษาอิสลามนั้นเพื่อให้เข้าใจและเข้าถึง ไม่ว่าจะมีสักกี่องค์กรที่เข้าไปทำงานแต่ถ้าไม่ศึกษากันอย่างแท้จริงแล้ว จะมีประโยชน์อันใดที่จะสูญเสียงบประมาณให้องค์กรเหล่านั้นที่สำคัญเจ้าหน้าที่ ที่อยู่ในพื้นที่ควรที่จะได้ศึกษาศาสนาอิสลามด้วย เพราะอยู่ในพื้นที่แต่ไม่เคยคิดที่จะรับรู้ว่าคนในท้องถิ่นเขาคิดกันอย่างไร เขาคิดแบบนี้เพราะอะไร สาเหตุนี้จึงทำให้แตกแยกได้ง่ายแม้จะอยู่ด้วยกันมานานเพราะความเข้าใจที่ไม่ตรงกันนั่นเอง แม้ตัวของท่านจะอยู่ในพื้นที่ แต่หัวใจและความคิดนั้นไม่ได้ใกล้ชิดกับพี่น้องมุสลิมเลยแม้แต่น้อย


“ และผู้ใดที่แสวงหาความผิดหรือบาปกรรมไว้ แล้วก็โยนบาปกรรมนั้นให้แก่ผู้บริสุทธิ์ แน่นอน เขาได้แบกความเท็จและบาปกรรมอันชัดเจนไว้ ” (Al-Quran 4:112)


“ผู้ศรัทธาที่เข้มแข็งย่อมดีกว่าและเป็นที่รักของอัลลอฮ์มากกว่าผู้ศรัทธาที่อ่อนแอ” (บันทึกโดย มุสลิม)


          สิ่งที่สำคัญที่สุดคงเป็นพี่น้องมุสลิมทุกกลุ่มชนที่บอกว่าตนเองนั้นเป็นผู้ศรัทธาพระเจ้าอย่างแท้จริง มุสลิมทุกคนควรศึกษาอัลกุรอานให้เข้าใจอย่างแท้จริง และต้องปฏิบัติตามซุนนะฮ์ของท่านนะบี   มุสลิมทุกคนนั้นทราบดีว่าอัลลอฮ์   จะไม่ให้อภัยผู้ที่ตั้งภาคี คือเชื่อและนับถือบุคคลหรือสิ่งอื่นเทียบเคียงกับพระองค์


“ และผู้ใดที่ฝ่าฝืนเราะซูล หลังจากที่คำแนะนำอันถูกต้องได้ประจักษ์แก่เขาแล้ว และเขายังปฏิบัติตามที่มิใช่ทางของบรรดาผู้ศรัทธานั้น เราก็จะให้เขาหันไปตามที่เขาได้หันไป และเราจะให้เขาเข้านรกญะฮันนัม และมันเป็นที่กลับอันชั่วร้าย ” (Al-Quran 4:115)

 
“จงกล่าวว่าฉันศรัทธาต่ออัลลอฮ์ แล้วจงยืนหยัดตามคำกล่าวนั้น”  (บันทึกโดย มุสลิม)


          ในการบอกเล่าเรื่องเหล่านี้ ยุซรอต้องการบอกความรู้สึกนึกคิดที่มีและอยากจะเห็นทุกอย่างในประเทศไทยอันเป็นที่รักสงบสุข และไม่สามารถที่จะอดทนได้ที่มีบุคคลกลุ่มหนึ่งออกมาโจมตีกล่าวร้ายศาสนาอิสลามโดยที่ไม่ยอมศึกษาให้ถ่องแท้เสียก่อน  ข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ สถานีโทรทัศน์หลายช่องทุกวันนี้  มักเขียนหรือพูดเพราะความเมามันหรือทำตามคำบอกกล่าวของคนเพียงกลุ่มหนึ่งหรือได้รับการว่าจ้างจากคนบางกลุ่มก็แล้วแต่ เพียงเพื่อทำลายศาสนาอิสลาม ทำร้ายพี่น้องมุสลิม

 
“เป็นบาปเพียงพอแล้วสำหรับบุคคลที่พูดทุกอย่างที่เขาได้ฟังมา”  (บันทึกโดย  มุสลิม)


“ พวกเขามิได้มองไปดูที่นก (บิน) อยู่เบื้องบนพวกเขาดอกหรือ มันกางปีกและหุบปีก (ของมัน) ไม่มีผู้ใดไปจับดึงมันไว้ได้ นอกจากพระผู้ทรงกรุณาปรานี แท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ”  (Al-Quran 67:19)


          แม้ยุซรอจะเข้ารับอิสลามได้ไม่นานนัก แต่มีความรู้สึกเสียใจอย่างมาก เมื่อได้อ่านสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นออกข่าวหรือเขียนข้อความต่างๆ บิดเบือนศาสนาอิสลามที่มีแต่ความสันติ กลายเป็นกลุ่มชนที่ก่อการร้าย ก่อความรุนแรง ถ้าผู้มีปัญญาและไขว่คว้าหาความรู้ควรที่จะศึกษาศาสนาเปรียบเทียบโดยใช้เหตุผลและความเป็นจริง โดยการค้นคว้าหาข้อมูลมาก่อนโดยไม่คิดที่จะลำเอียงหรือต่อเติม  พวกเขาจะได้เห็น รับรู้สัจธรรมและความเป็นจริง


“ผู้ใดกล่าวในเรื่องของอัลกุรอานโดยไม่มีความรู้ ก็ให้เขาเตรียมที่นั่งของเขาไว้ในไฟนรก”  (บันทึกโดย  ติรมิซีย์)

 

          บุคคลที่จะศึกษาอิสลามได้นั้นต้องเปิดใจของท่านให้กว้างและพร้อมที่จะยอมรับ ท่านจะต้องวางจิตใจไว้ตรงกลาง เพราะถ้ามีจิตใจที่คับแคบและฟังข้อมูลด้านเดียว โดยไม่รับรู้ความเป็นจริง จะทำให้สิ่งที่ท่านบอกว่าตนเองหวังดีกลายเป็นการทำลายประเทศชาติทางอ้อม เหตุการณ์ต่างๆ จึงไม่สงบลงเสียที


“ฉันได้ถูกใช้ให้ทำการต่อสู้กับมนุษย์ จนกว่าพวกเขาจะปฏิญาณว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และแท้จริงมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของ อัลลอฮ์ และพวกเขาจะต้องดำรงการละหมาด และชำระซะกาต แล้วเมื่อพวกเขาได้ปฏิบัติดังกล่าวแล้ว พวกเขาก็ได้รับการคุ้มครองจากฉันซึ่งเลือดของพวกเขา ทรัพย์สินของพวกเขา ยกเว้นสิทธิของอัลอิสลาม และการสอบสวนของพวกเขาขึ้นอยู่กับอัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่ง” (บันทึกโดย บุคอรีย์ และ มุสลิม)


          มีบ้างไหมสื่อมวลชนที่มีความกล้าพอที่จะเสนอข่าวให้ผู้นำศาสนาอิสลามรุ่นใหม่ ที่กล้าพูดความจริงโดยไม่ได้มีผลประโยชน์ทางการเมือง มาพูดคุยและอธิบายเกี่ยวกับหลักการทางศาสนาอิสลามเพื่อให้คนต่างศาสนิกได้ทราบข้อมูลที่แท้จริง


“ท่านทั้งหลายจะพบคนเลวที่สุดในวันกิยามะฮ์ คือคนที่มีสองหน้า กล่าวคือไปหาพวกหนึ่งด้วยใบหน้าหนึ่ง และจะไปหาอีกพวกหนึ่งด้วยกับอีกใบหน้าหนึ่ง”  (บันทึกโดย บุคอรีย์ และ มุสลิม) 


          แต่คงจะหาสื่อมวลชนที่กล้าหาญเหล่านั้นยาก ขนาดสื่อของรัฐบาลเองยังไม่กล้าที่จะให้มุสลิมออกมาแสดงความคิดเห็นเลย ไม่รู้ว่าเขาเหล่านั้นเกรงกลัวอะไรกันอยู่ หรือพวกท่านกำลังกลัว “ สัจธรรม ความจริง ” ที่จะปรากฏขึ้น


“ จงกล่าวเถิดเมื่อความจริงปรากฏขึ้นความเท็จย่อมมลายไป แท้จริงความเท็จนั้นย่อมมลายไปเสมอ ” (Al-Quran 17:81)         

 

 


“ ท่านทั้งหลายจงอย่าอิจฉาริษยากัน  จงอย่าขายโก่งราคากัน  จงอย่าโกรธกัน  จงอย่าหันหลังให้กัน  บางคนในหมู่พวกท่าน จงอย่าขายตัดราคากับอีกบางคน แต่พวกท่านจงเป็นบ่าวของอัลลอฮ์ อย่างฉันท์พี่น้องกัน มุสลิมนั้นเป็นพี่น้องของมุสลิม และเขาจะต้องไม่โกงพี่น้องของเขา  ไม่นิ่งดูดายพี่น้องของเขา  ไม่เหยียดหยามพี่น้องของเขา ความยำเกรงอยู่ตรงนี้ ท่านชี้ไปที่หน้าอกของท่านถึง  3  ครั้ง  เป็นความชั่วช้าพอแล้วสำหรับคน คนหนึ่งที่เขาเหยียดหยามพี่น้องของเขาที่เป็นมุสลิม  ทุกสิ่งของมุสลิมต่อมุสลิมนั้นเป็นที่ต้องห้าม ไม่ว่าจะเป็นเลือด ทรัพย์สิน  และ     เกรียติยศของเขา”

(บันทึกโดย มุสลิม)

Next>>>>Click