ความเป็นจริงของการเกิดศาสนา
  จำนวนคนเข้าชม  13975

ความเป็นจริงของการเกิดศาสนา

 

“ พระองค์คือผู้ทรงเกิดพวกเจ้าจากดิน แล้วได้ทรงกำหนดเวลาแห่งความตายไว้ และกำหนดที่ถูกระบุไว้อีกกำหนดหนึ่งนั้น อยู่ที่พระองค์แต่แล้วพวกเจ้าก็ยังสงสัยกันอยู่ ”(Al-Quran 6:2)


            ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ศาสนาที่ให้ความเคารพภักดีต่อพระเจ้าองค์เดียวได้เกิดขึ้นก่อนทุกศาสนาในโลกนี้ ผู้คนจะเข้าใจว่าศาสนาอิสลามเกิดมาหลังจากศาสนาอื่นโดยการตัดสินจากจำนวนปีของอิสลามที่ตั้งขึ้น พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและสร้างมนุษย์คนแรกคือท่านนะบีอาดัม อะลัยฮิสลาม ถูกสร้างขึ้นมาจากดิน ไม่ทราบว่าผ่านมา กี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านปีล่วงเลยมาแล้ว อัลลอฮ์   เท่านั้นที่รู้


“ พระองค์คือผู้ที่ได้สร้างสิ่งทั้งมวลในโลกไว้สำหรับพวกเจ้า ภายหลังได้ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้า แล้วได้ทำให้มันสมบูรณ์ขึ้นเป็นเจ็ดชั้นฟ้า และพระองค์นั้นทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง ”(Al-Quran 2:29)


“ จงรำลึกถึง ขณะที่เราได้กล่าวแก่มลาอิกะฮ์ว่า พวกเจ้าจงสุญูด แก่อาดัมเถิดแล้วพวกเขาก็สุญูดกัน นอกจากอิบลีส โดยที่มันไม่ยอมสุญูด และแสดงโอหัง และมันจึงได้กลายเป็นผู้สิ้นสภาพแห่งการศรัทธา(กาฟิรฺ) ”  (Al-Quran  2:34 )


          หลังจากท่านนะบีอาดัม อะลัยฮิสลาม  อัลลอฮ์    ทรงส่งนะบีมาอีกหลายท่านเพื่อตักเตือนและเรียกร้องมนุษย์สู่สัจธรรม มนุษย์ได้ถูกมารร้ายชัยฏอนหลอกลวงให้เคารพสักการะสิ่งอื่น และสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อตั้งภาคีขึ้นมาเทียบเคียงกับพระองค์


“ ภายหลังชัยฏอนได้ทำให้ทั้งสอง(อาดัมและภรรยา)นั้นพลาดพลั้งไปเนื่องจากต้นไม้ต้นนั้น แล้วได้ทำให้ทั้งสองออกจากที่ที่เคยพำนักอยู่ และเราได้กล่าวว่าพวกเจ้าจงออกไป โดยที่บางส่วนของพวกเจ้าต่างเป็นศัตรูต่อกัน และ(สำหรับพวกเจ้าในผืนแผ่นดินนั้น)มีที่พำนัก และมีสิ่งอำนวยประโยชน์จนถึงระยะเวลาหนึ่ง ” (Al-Quran 2:36)


          พระองค์ทรงมีกำหนดของวันสิ้นโลก(วันกิยามะฮ์) หรือวันที่มนุษย์ทุกคนไม่ว่ากี่ศตวรรษที่ตายไป จะถูกทำให้ฟื้นขึ้นเพื่อรับการไต่สวนด้วยความดีและความชั่วที่แต่ละคนได้ทำเอาไว้ ไม่มีสิ่งไหนรอดพ้นไปได้แม้เพียงเท่าผงธุลี  และผู้ที่ล่อลวงให้มนุษย์ทำความชั่ว หลงงมงายกับสิ่งต่างๆคือ ชัยฏอน เพราะมันต้องการเพื่อนที่จะลงนรกญะฮันนัมไปด้วยกัน


“ และบรรดาผู้ที่ปฎิเสธศรัทธาและไม่เชื่อโองการของเรานั้น ชนเหล่านี้คือชาวนรกโดยที่พวกเขาเหล่านี้จะอยู่ในนรกตลอดกาล ” (Al-Quran 2:39)


“ อิบรอฮิมไม่เคยเป็นยิว และไม่เคยเป็นคริสต์ แต่ทว่าเขาเป็นผู้หันออกจากความเท็จสู่ความจริง เป็นผู้น้อมตาม และเขาก็ไม่เคยอยู่ในหมู่ผู้ให้มีภาคีขึ้น (แก่อัลลอฮ์) ”(Al-Quran 3:67)

          ท่านนะบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม เป็นผู้ที่บูรณะอัลกะอ์บะบ้านของอัลลอฮ์   ตั้งอยู่ที่เมืองมักกะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ถ้าคำนวณเฉพาะเวลาของท่านนะบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม ที่เผยแพร่ศาสนาให้เคารพอัลลอฮ์    เพียงพระองค์เดียวแล้วนั้น ศาสนาอิสลามจะมีอายุประมาณ 4,000 กว่าปีมาแล้ว เพราะท่าน นะบีมุฮัมมัด   ได้ดำเนินตามแนวทางของท่านนะบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม


“ ใครเล่าที่จะไม่พึงปรารถนาในแนวทางของอิบรอฮีม นอกจากผู้ที่ทำให้ตัวเองโฉดเขลาเท่านั้น และแท้จริงนั้นเราได้คัดเลือกเขา(ให้เป็นนะบี และเราะซูล)ในโลกนี้ และแท้จริงในปรโลกนั้น เขาจะอยู่ในหมู่คนดีอย่างแน่นอน”    (Al-Quran 2:130)


“…..แท้จริงอัลลอฮ์ได้เลือกศาสนาให้แก่พวกเจ้าแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ายอมตายเป็นอันขาด นอกจากในขณะที่พวกเจ้าเป็นผู้สวามิภักดิ์ (ต่ออัลลอฮ์) เท่านั้น” (Al-Quran 2:132)


“ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์โปรดส่งเราะซูลคนหนึ่งคนใดจากพวกเขาเอง ในหมู่พวกเขา ซึ่งเขาจะได้อ่านบรรดาโองการของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และจะได้สอนคัมภีร์และความมุ่งหมายแห่งบทบัญญัติให้พวกเขาทราบ และซักฟอกพวกเขาให้สะอาด แท้จริงพระองค์ทรงไว้   ซึ่งเดชานุภาพและปรีชาญาณ” (Al-Quran 2:129)


          นี่เป็นคำขอของท่านนะบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม ต่ออัลลอฮ์  ที่ได้บอกกล่าวไว้ล่วงหน้าว่า จะมีศาสนทูตที่มาจากกลุ่มชนชาวอาหรับ เพื่อมาสอนคัมภีร์และความมุ่งหมายแห่งบทบัญญัติของพระองค์ แต่ก็ยังมีผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งๆ ที่พวกเขารู้ๆกันอยู่

          ทำไมศาสนาอิสลามจึงเชื่อใน เยซู(นะบีอีซา) ศาสดาในศาสนาคริสต์และโมเสส (นะบีมูซา) ศาสดาในศาสนายิว พวกเขาเกี่ยวข้องอะไรกันหรือ?


“และพวกเขากล่าวว่า จะไม่มีใครเข้าสวรรค์เลย นอกจากผู้ที่เป็นยิวหรือเป็นคริสเตียนเท่านั้น นั่นคือความเพ้อฝันของพวกเขา จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าพวกท่านจงนำหลักฐานของพวกท่านมาถ้าพวกท่านเป็นผู้พูดจริง”       (Al-Quran 2:111)


          ศาสดาในศาสนาคริสต์และยิว เป็นนะบีที่อัลลอฮ์    ได้ส่งมาเพื่อให้ประกาศการเคารพภักดีต่อพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่ทั้งสองศาสนานั้นมีกลุ่มชนหนึ่งที่ทำการบิดเบือนคัมภีร์ของพระองค์อัลลอฮ์     ไม่ยอมรับในศาสนาอิสลามทั้งๆ ที่ท่านนะบีมุฮัมมัด    ถูกระบุอยู่ในคัมภีร์ของทั้งสองศาสนา  การแก้ไขแต่งเติมคัมภีร์นั้นเพื่อมุ่งเน้นผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่ง แต่นั่นส่งผลถึงกลุ่มชนในศาสนาของพวกเขา การสอนถึงหลักธรรม ความศรัทธาและความเชื่อที่ผิดๆ ทำให้การปฏิบัติตนที่ไร้ศีลธรรมมีมากขึ้น และพวกเขาจะเป็นเพื่อนของชัยฏอนในนรกอย่างแน่นอน


“ แท้จริงจากหมู่เขาพวกนั้น มีกลุ่มหนึ่งบิดลิ้นของพวกเขา ในการอ่านคัมภีร์ ทั้งๆที่มันมิได้มาจากคัมภีร์ และพวกเขากล่าวว่ามันมาจากที่อัลลอฮ์ ทั้งๆที่มันมิใช่มาจากอัลลอฮ์ และพวกเขากล่าวว่าความเท็จให้แก่อัลลอฮ์ ทั้งๆที่พวกเขาก็รู้กันดีอยู่ ”  (Al-Quran 3:78)


          ประเทศมหาอำนาจที่ดูภายนอกนั้นสวยหรู แท้จริงแล้วภายในประเทศมีปัญหาต่างๆมากมายจนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ การบิดเบือนทำให้คนที่มีสติปัญญาบางกลุ่มหันกลับมาคิดทบทวนและแสวงหาความจริง แต่ยังมีบางกลุ่มชนได้ปฏิบัติตนเยี่ยงผู้ไร้ศาสนา และมักจะบอกว่าพวกเขาไม่นับถือพระเจ้า ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาอยู่ในศาสนาของชัยฏอน ผู้ไร้ศรัทธาเหล่านั้นทำการฆาตกรรม ลักทรัพย์ ข่มขืนผู้หญิง ปัญหาโสเภณี ยาเสพติด และการพกพาอาวุธปืนโดยถูกกฎหมายทำให้มีการฆาตกรรมโดยไร้สาเหตุ ผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องตาย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยออกข่าวให้ประเทศอื่นๆได้รับรู้อย่างเปิดเผยทั้งหมด พวกเขากำลังตาบอดกับความเจริญทางวัตถุ หลงงมงายกับภาพลักษณ์ ความหรูหรา ความฟุ้งเฟ้อ เย่อหยิ่ง จองหอง และคนรวยจะอยู่ในเฉพาะคนกลุ่มหนึ่งที่มีเชื้อสายยิว ที่อพยพไปอยู่ในประเทศนั้นนั่นเอง


“ ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าได้ยึดเอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นมิตร บางส่วนของพวกเขานั้นคือมิตรของอีกบางส่วน และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเอาพวกเขามาเป็นมิตรแล้วไซร้ แน่นอนผู้นั้นก็เป็นหนึ่งในพวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่แนะนำกลุ่มชนที่อธรรม ”   (Al-Quran 5:51)


“แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่าอัลลอฮ์เป็นผู้ที่สามของสามองค์ นั้นได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากผู้ที่ควรเคารพสักการะองค์เดียวเท่านั้น และหากพวกเขามิหยุดยั้งจากสิ่งที่พวกเขากล่าว แน่นอนบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาในหมู่พวกเขานั้นจะต้องประสบการลงโทษอันเจ็บแสบ” (Al-Quran 5:73)


         สงครามที่เกิดขึ้นนั้นคือทหารของชาวคริสต์ที่โง่เขลาทั้งหลาย กำลังไปตายในสนามรบเพื่อปกป้องชาวยิวชนกลุ่มเล็กที่นึกว่าตนเองดีเลิศเหนือมนุษย์ผู้อื่น ชาวยิวที่โดนพระเจ้ากำหนดให้มีผู้ที่มาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกเขาหลายครั้งหลายครา เพราะการกระทำที่ไม่เคยสำนึกของพวกเขา การกดขี่ข่มเหงเพื่อนมนุษย์ การดูถูกผู้หญิงที่เป็นเพศแม่ ระบบดอกเบี้ยมหาโหดทั้งหลายนี้มีต้นกำเนิดมาจากชาวยิว แม้แต่ในปัจจุบันพวกเขาก็ยังก่อกรรมข่มเหงและฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างมากมาย


“และเราได้แจ้งแก่วงศ์วานของอิสรออีลในคัมภีร์ว่า พวกเจ้าจะก่อการเสียหายในแผ่นดินสองครั้ง และแน่นอนพวกเจ้าจะโอหังยโสยิ่ง” (Al-Quran 17:4)


          พวกเขาก่อสงครามเพื่ออะไรกันนะ เพื่อพวกเขาจะขายอาวุธกันอย่างนั้นหรือใช่สิ! พวกเขามีโรงงานผลิตอาวุธร้ายแรงต่างๆไว้ขาย ถ้าไม่โชว์ประสิทธิภาพให้เห็นแล้วจะขายใครหละ แล้วจะโชว์ที่ไหนถ้าไม่ใช่ประเทศที่ตนเองนั้นมีเป้าหมายในการขโมยและกล่าวร้ายป้ายสี แผนการตลาดช่างเยี่ยมยอดเหลือเกินแต่ต้องแรกด้วยชีวิตของผู้บริสุทธิ์อย่างมากมาย ชาวยิวและชาวคริสต์มุ่งกล่าวหาแต่ประเทศอิสลามว่าอันตรายและทำการก่อการร้าย (น่าหัวเราะยิ่งนักที่พวกเขาไม่เคยก้มลงมองดูตนเองเลย) ใครกันที่กำลังก่อการร้าย? ใครกันกำลังฆ่ามนุษย์ที่บริสุทธิ์? ใครกันที่ได้รับผลประโยชน์จากสงครามที่เกิดขึ้น? นี่หรือคือผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนและผู้มีประชาธิปไตย พวกเขลากำลังทำอะไรกันอยู่ ผู้บริสุทธิ์จะต้องตายอีกมากมายขนาดไหนพวกเขลาถึงจะพอใจ พวกเขลาถึงจะหยุดการกระทำอันป่าเถื่อนและโหดร้ายเหล่านั้น


“ หรือว่าพวกเขาอิจฉาคนอื่น ในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่พวกเขา จากความกรุณาของพระองค์ แท้จริงนั้นพระองค์ได้ประทานให้แก่วงค์วานของอิบรอฮิมมาแล้วซึ่งคัมภีร์และความรู้เกี่ยวกับศาสนา และได้ทรงให้แก่พวกเขาซึ่งอำนาจอันยิ่งใหญ่ ” (Al-Quran 4:54)

                   

เพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งของสงคราม 
ความบอบช้ำที่ไม่รู้ว่าจะเยียวยาและรักษาให้หายได้อย่างไร
 นี่คือการกระทำของผู้ที่เรียกตนเองว่า ผู้เจริญแล้ว
ผู้พัฒนาแล้ว แต่การกระทำอันโหดร้ายและป่าเถื่อน
 เหมือนไม่ใช่มนุษย์ ไม่มีจิตใจ ไม่มีศาสนา ไร้ซึ่งมนุษย์ธรรม

พวกเขาเหล่านี้หรือที่พวกบ้าอำนาจ กล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุ
แห่งความรุนแรง พวกเขาเหล่านี้หรือคือผู้ก่อการร้าย
ใครกันหรือคือสาเหตุแห่งความรุนแรง
ใครกันแน่คือผู้ก่อการร้าย ????

 

          กลุ่มคนที่มีอำนาจนั่งอยู่บนหอคอยงาช้างบัญชาการให้คนไปตาย ! พวกเขาไม่เคยคิดที่จะเหยียบลงไปในสนามรบเพราะกลัวตาย ! นั่งอยู่อีกซีกโลกเพื่อสั่งการ ผู้บ้าอำนาจเหล่านั้นนั่งประชุมบนโต๊ะหรูหราในโรงแรมชั้นหนึ่ง กินอาหารดีๆ นอนในที่นอนนุ่มๆ มีผู้คุ้มกันอย่างดี แล้วทหารของผู้บ้าอำนาจเหล่านั้น พวกเขากำลังมีความรู้สึกอย่างไร ? พวกเขาหวาดกลัวกันแค่ไหน? พวกเขากินอาหารกันอย่างไร? พวกเขานอนกันหลับหรือไม่? พวกเขาคิดถึงครอบครัวแค่ไหน? พวกเขาเป็นทหารชาวคริสต์แต่กำลังทำเพื่อใครกันแน่ คริสต์ หรือ ยิว?  แล้วพรุ่งนี้พวกเขาจะยังมีชีวิตรอดเพื่อรอกลับบ้านไหม? ไม่มีใครรู้นอกจากพระองค์เท่านั้น
นี่หรือคือผู้ที่อ้างตนเองว่าประเทศประชาธิปไตย นี่หรือคือสิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรม นี่หรือคือการปกป้องตนเองที่เสรี นี่หรือคือมนุษย์ที่เรียกตนเองว่าพัฒนาแล้ว พวกเขาพัฒนาด้านไหนกัน ความป่าเถื่อน ความชั่ว หรือความเลว  สิ่งที่เขาทำในสงครามคือสิ่งที่ไม่มีความเป็นมนุษย์ ผู้ชายถูกทารุณกรรมและฆ่าตายอย่างมากมาย ผู้หญิงมุสลิมต้องโดนทหารอเมริกันข่มขืน แล้วพวกเธอก็ท้องไม่มีพ่อให้เด็ก หรือบางคนติดเชื้อเอดส์ นี่หรือที่เรียกว่าประชาธิปไตย นี่หรือที่เรียกว่าเสรีภาพ นี่คือความเลวร้ายของประเทศที่เรียกตนเองว่าผู้เจริญแล้ว  ผู้เจริญแล้ว.......ถ้าสิ่งที่พวกเขาทำคือความเจริญขอให้พระองค์ได้เอาความเจริญของพวกเขากลับไปให้พวกเขาเองด้วยเถิด อามีน


“และเจ้าจงปล่อยเสีย ซึ่งบรรดาผู้ที่ยึดเอาศาสนา ของพวกเขาเป็นของเล่น และสิ่งให้ความเพลิดเพลิน และชีวิตความเป็นอยู่ในโลกนี้ได้หลอกลวงพวกเขา และเจ้าจงเตือนด้วยอัลกุรอาน การที่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดจะถูกสังกัดอยู่ กับสิ่งที่ชีวิตได้ขวนขวายไว้ โดยที่อื่นจากอัลลอฮ์ แล้วจะไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใด และไม่มีผู้ทำการชะฟาอะฮ์ คนใดสำหรับชีวิตนั้น และถ้าชีวิตนั้นจะไถ่ถอนด้วยสิ่งไถ่ถอนทุกอย่างมันก็จะไม่ถูกรับจากชีวิตนั้น ชนเหล่านั้นคือบรรดาผู้ที่ได้ถูกให้สังกัดอยู่กับสิ่งที่พวกเขาได้แสวงหากัน ซึ่งพวกเขาจะได้รับเครื่องดื่มจากน้ำที่ร้อนจัดและจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบเนื่องจากที่พวกเขาปฏิเสธการศรัทธา”  (Al-Quran 6:70)


         แล้วพวกเขาจะไม่มีวันตายกันหรืออย่างไร พวกเขาจะอยู่กันอีกกี่ปีหรือ พวกเขาไม่มีหัวใจกันบ้างหรือ หรือหัวใจของพวกเขาทำด้วยอะไรกัน ผลิตจากวัตถุดิบต่างชนิดกันอย่างนั้นหรือ เวลาที่พวกเขาเห็นเพื่อนมนุษย์ที่ต้องตายเพราะน้ำมือของพวกเขา พวกเขาไม่มีความรู้สึกกันเลยหรืออย่างไร  นี่หรือเพื่อนมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างพวกเขาเหล่านั้นจากดิน !  ยุซรอขอดุอาร์ทุกครั้ง ให้พระองค์โปรดสงสารทหารที่ต้องทำตามผู้นำที่เห็นแก่ตัวและโง่เขลาเหล่านั้น ยุซรอขอให้พระองค์ส่งทหารทั้งหมดออกจากแผ่นดินที่มีกลุ่มชนนับถือศาสนาอิสลาม และมีประชากรมุสลิมอาศัยอยู่ ให้พวกเขากลับบ้านเพื่อไปอยู่กับครอบครัว  เพราะยุซรอรู้ว่าการที่ไม่ได้อยู่กับครอบครัวนั้นมันมีความรู้สึกเหงาและอ้างว้างเพียงไร แต่สิ่งหนึ่งที่ขอพระองค์คือขอให้พระองค์ได้ส่งความรู้สึกที่เจ็บปวดรวดร้าว ที่พวกเขาได้ทำกับพี่น้องมุสลิมให้เขาได้รับรู้ความรู้สึกเดียวกันนี้ เพื่อพวกเขาจะได้เห็นแนวทางที่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็วขึ้น ขอให้พระองค์ได้โปรดชี้ทางนำที่ถูกต้องให้กับพวกเขาเหล่านั้นด้วยเถิด อามีน


“ การเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้นำ เป็นหน้าที่ของมุสลิม ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เขาชอบหรือเกลียดก็ตาม ตราบเท่าที่เขาไม่ได้ถูกใช้ให้ทำความชั่ว เมื่อได้ถูกใช้ให้ทำความชั่ว เขาก็ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องเชื่อฟัง และปฏิบัติตามแต่อย่างใด ”      (บันทึกโดย บุคอรีย์ และ มุสลิม)


“ แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อโองการทั้งหลายของเรานั้น เราจะให้พวกเขาเข้าไปในไฟนรก คราใดที่ผิวหนังของพวกเขาสุก เราก็เปลี่ยนผิวหนังให้แก่พวกเขาใหม่ซึ่งมิใช่ผิวหนังเดิม เพื่อพวกเขาจะได้ลิ้มรสการลงโทษ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ ” (Al-Quran 4:56)


          ถ้าผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์และยิวได้ศึกษาคัมภีร์อัลกุรอานอย่างละเอียดลึกซึ้งและใช้ปัญญาในการไตร่ตรอง พวกเขาเหล่านั้นจะได้ค้นพบสัจธรรม ซึ่งในคัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวเกี่ยวกับสิ่งดีๆ ที่ศาสดาของพวกเขาได้บอกให้ปฏิบัติตามแนวทางของอัลลอฮ์   อัลกุรอานคือความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ไม่ว่า ยิว คริสต์ หรือ อิสลาม พวกเรานั้นนับถือพระเจ้าองค์เดียวกันนั่นเอง พระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮาน่าฮุ ว่าตาอะลา


“ แท้จริงบรรดาผู้ที่ศรัทธา  และบรรดาผู้ที่เป็นยิว และพวกซอบิอูน(พวกสักการะดวงดาว) และบรรดาผู้ที่เป็นคริสต์นั้น ผู้ใดที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลกและประกอบสิ่งที่ดีงามแล้ว ก็ไม่มีความกลัวใดๆแก่พวกเขา และทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจ ” (Al-Quran 5:69)
             

นี่คือจุดสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าโลงศพจะเลิศหรูขนาดไหน
 แต่ศพที่อยู่ข้างใน ไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งใดๆแล้ว
ไม่มีความภาคภูมิใจ หรือเศร้าใจหลงเหลืออยู่เลย
ความตายไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลย เพราะความตาย คือ
ความเสมอภาคที่ทุกคนจะต้องได้รับจากพระองค์


“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าเราจะวิงวอนขอต่อสิ่งที่ไม่ให้คุณค่าแก่เรา และไม่ให้โทษแก่เราได้อื่นจากอัลลอฮ์ กระนั้นหรือ และเราก็จะถูกให้หันส้นเท้าของเรากลับ หลังจากที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเราแล้ว ดั่งผู้ที่พวกชัยฏอนได้ทำให้เขาหลงไปในแผ่นดินในสภาพที่ งง งวย ซึ่งเขามีเพื่อนๆ เรียกร้องเขาให้ไปสู่คำแนะนำที่ถูกต้อง ว่าจงมาหาพวกเราเถิด จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าแท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น คือคำแนะนำ(ที่แท้จริง) และพวกเราได้รับบัญชาให้เราสวามิภักดิ์แด่พระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น” (Al-Quran 6:71)

Next >>>>Click