ศาสนาที่เที่ยงแท้
โดย อบู อะมีนะห์ บิลาล ฟิลิปส์
สาส์นแห่งศาสนาปลอม
ในโลกนี้เรามีแนวความคิด นิกาย ความเชื่อถือ ลัทธิ ศาสนา หลักปรัชญา สำนักนิกาย และกลุ่มต่างๆมากมาย ซึ่งต่างก็กล่าวอ้างว่า ลัทธิความเชื่อของตนนั้น เป็นแนวทางที่ถูกต้องหรือวิถีทางเดียวเท่านั้นที่จะนำมนุษย์นั้นไปสู่พระผู้เป็นเจ้าได้ เราจะตัดสินได้อย่างไรว่าศาสนาหรือลัทธิใดถูกต้อง หรือว่าทุกลัทธิความเชื่อถือเหล่านี้ถูกต้องหมด ? วิธีที่เราจะหาคำตอบนี้ได้คือ เบื้องต้นต้องยุติปัญหาความแตกต่างที่ผิวเผินในคำสั่งสอนของผู้ที่อ่างถึงความสัจจะอันสูงสุด และพิสูจน์ให้เห็นถึงจุดหมายสำคัญของการเคารพภักดี แม้จะเรียกร้องโดยตรงหรือไม่มีก็ตาม ศาสนาปลอม ต่างๆมักมีแนวความคิดพื้นฐานกันเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าทำนองเดียวกัน
คือพวกเขาจะอ้างว่ามนุษย์คือพระเจ้า หรือไม่พระเจ้าก็คือสิ่งที่มนุษย์เสกสรรขึ้นตามจิตนาการของตน ซึ่งกล่าวได้ว่าคำสอนเบื้องต้นของศาสนาปลอมเหล่านั้นก็คือ พระผู้เป็นเจ้าสามารถได้รับการเคารพภักดีในลักษณะของสิ่งที่ถูกสร้าง ศาสนาจอมปลอมเหล่านั้นได้เชิญชวนมนุษย์ชาติสู่การเคารพบูชาสิ่งที่ถูกสร้างโดยเรียกสิ่งเหล่านั้นว่าพระเจ้า เช่น ศาสดาเยซู ได้เชิญชวนผู้เลื่อมใสให้เคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างแต่มีบรรดาผู้อ้างตนว่าเป็นผู้ยึดถือและปฏิบัติตามคำสอนของท่านในยุคต่อมาได้เชิญชวนมนุษย์ให้บูชาตัวของพระเยซูเองโดยอ้างว่า ท่านศาสดาเยซู คือพระเจ้า
พระพุทธเจ้าถือเป็นนักปฏิรูปผู้หนึ่งซึ่งได้นำเอาหลักการแห่งมนุษยธรรม มาให้ศาสนาแก่อินเดีย พระองค์มิเคยอ้างตนเองเป็นพระเจ้า และท่านไม่เคยแนะนำสั่งสอนให้บรรดาสาวกผู้ปฏิบัติตาม ยึดเอาตนเป็นสิ่งบูชา แต่กระนั้นชาวพุทธส่วนมากนอกประเทศอินเดีย ได้ยึดถือเอาพระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้าและได้ประดิษฐ์รูปเหมือนขึ้นเป็นที่กราบไหว้
ด้วยอาศัยหลักการแห่งการพิสูจน์เอกลักษณ์ แยกแยะจุดมุ่งหมายในการเคารพบูชาจะทำให้เราสามารถทราบถึงพื้นเพความเป็นมาของการอุตริอย่างแท้จริงดังมีหลักฐานปรากฏอยู่ในซูเราะห์ ยุสุฟ : 40 จากคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงว่า
“ อื่นจากอัลลอฮ์แล้วพวกท่านหาได้เคารพภักดีอันใดไม่ นอกจากบรรดานามที่พวกท่านตั้งชื่อขึ้นเอง (โดยไม่จริงจัง) พวกท่าน (นับถือเช่นนั้น รวม) ทั้งบรรพบุรุษของท่านด้วย อัลลอฮ์มิได้ประทานหลักฐานใดในข้อนี้ลงมา การตัดสินเป็นของอัลลอฮ์ โดยเฉพาะพระองค์ทรงบัญชาพวกท่านว่า จงอย่าเคารพภักดีต่อผู้ใด เว้นแต่พระองค์เท่านั้น นั่นคือศาสนา (หลักเอกภาพ) อันมั่นคง แต่ว่ามนุษย์ส่วนมากไม่รู้ (เพราะไม่พยายามศึกษาค้นคว้า)”
บางท่านอาจโต้แย้งว่าทุกศาสนาล้วนสอนแต่ในเรื่องความดีงามจึงไม่เห็นแปลกที่เราจะปฏิบัติตามศาสนาใดก็ได้ คำตอบก็คือ แท้จริงแล้วศาสนาจอมปลอมทั้งหลาย สอนให้บูชาสิ่งที่ถูกสร้าง ซึ่งถือเป็นความชั่วร้ายที่สุด
การที่เราเคารพ สักการะบูชาสรรพสิ่งที่ถูกสร้าง แทนที่จะเคารพบูชาพระผู้ทรงสร้าง นี้แหละคือบาปอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ได้กระทำขึ้น ทั้งนี้เพราะมันค้านกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของการถูกบังเกิดของมนุษย์ชาติ กล่าวคือมนุษย์ชาติได้ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อเคารพภักดีต่อพระเจ้าคืออัลลอฮ์พระองค์เดียว ดังที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ในอัลกรุอานอย่างชัดเจนว่า
“ และข้ามิได้บังเกิดญินและมนุษย์มาเพื่ออื่นใด นอกจากเคารพภักดีต่อข้าเท่านั้น ”
อัลกรุอาน 51 : 56
เพราะฉะนั้น การเคารพสักการะหรือบูชาต่อสรรพสิ่งที่ถูกสร้างอันเป็นการเคารพบูชารูปปั้น ซึ่งไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงจึงนับว่าเป็นบาปที่ไม่สามารถให้อภัยโทษได้อย่างเด็ดขาด ผู้ใดตายไปในสภาพของการเป็นผู้เคารพบูชารูปปั้นเขาได้ปิดกั้นกฎกำหนด (โชคชะตากรรม) ของเขาในโลกหน้าเสียแล้ว นี่ไม่ใช่ความคิดเห็นแต่เป็นข้อเท็จจริงของโองการแห่งอัลลอฮ์ ที่ได้ถูกประทานมายังมนุษย์ชาติในพระคัมภีร์ฉบับสุดท้าย คืออัลกรุอานว่า
“แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงอภัยแก่ผู้ที่ได้ตั้งภาคีต่อพระองค์ ( เพราะสิ่งทั้งหลายถูกกำหนดให้มีขึ้นเพื่อรับใช้และอำนวยความสะดวกประโยชน์สำหรับมนุษย์ และไม่ใช่เป็นที่เคารพ สักการะ บูชาของมนุษย์) และทรงอภัยอื่นจากนั้นแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ”
อัล กรุอาน 4 : 48
ความเป็นศาสนาสากลของอัล อิสลาม
เนื่องจากผลตามมาของการนับถือศาสนาปลอมนั้นร้ายแรงยิ่งนัก ดังนั้นศาสนาที่แท้จริงของอัลลอฮ์ ( พระผู้เป็นเจ้า ) จึงสมควรได้รับการเข้าใจและบรรลุผลสำเร็จในระดับสากล และยังไม่จำกัดเฉพาะประชาชาติใดประชาชาติหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังไม่จำกัดเวลา สถานที่และไม่มีเงื่อนไขต่างๆเฉกเช่น การพรมน้ำเพื่อล้างบาปในคริสต์ศาสนา ความเชื่อว่ามนุษย์เป็นผู้ทำให้รอดพ้น ทำให้ผู้เชื่อถือได้เข้าสวรรค์
ภายในขอบเขตของการจำกัดความในหลักการสำคัญของอัลอิสลาม คือการนอบน้อมยอมตนยังพระประสงค์แห่งพระเจ้า แล้วตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความเป็นศาสดาสากล ฉะนั้นเมื่อใดที่มนุษย์มีความเข้าใจอย่างแท้จริงว่าอัลลอฮ์ ทรงคุณลักษณะเอกะ และทรงแตกต่างอย่างสิ้นเชิง จากสรรพสิ่งถูกสร้างแล้วยอมจำนนต่ออัลลอฮ์ เขาก็คือ “มุสลิม” ทั้งร่างกายและจิตใจและมีสิทธ์จะได้เข้าสวรรค์ ดังนั้นผู้ใดก็ตามไม่ว่าเขาจะอาศัยอยู่ ณ แห่งหนใด สมัยใดในโลกใบนี้ เขาก็สามารถเป็นมุสลิมได้ ทั้งนี้โดยปฏิเสธการเคารพ สักการบูชา สรรพสิ่งที่ถูกสร้างต่างๆและหันสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ เพียงองค์เดียวเท่านั้น
การยอมรับและการยอมจำนนต่ออัลลฮ์จำเป็นต้องมีการแยกแยะระหว่างสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง และสิ่งที่ชั่วร้าย ผิดศีลธรรม และจำต้องทราบว่าวิธีการเลือกเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงการยอมรับของตน โดยการแยกแยะการทำความดีที่ประเสริฐสุด คือ การเคารพต่ออัลลอฮ์ พระองค์เดียวเท่านั้น ขณะที่การกระทำที่ชั่วร้ายที่ร้ายแรงที่สุด คือการเคารพบูชาสรรพสิ่งที่ถูกสร้างเคียงคู่กับการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ หรือแทนการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ ข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ถูกสาธยายไว้ในคัมภีร์ อัลกรุอานที่ว่า
"แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและบรรดาผู้เป็นยิวและคริสต์และศอบีฮีน ผู้ใดก็ตามที ศรัทธาในอัลลอฮฺและวันสุดท้ายและการประกอบการดี ดังนั้นสำหรับเขาทั้งหลายจะไม่มีความหวาดกลัวแก่เขาทั้งหลาย ณ พระผู้อภิบาลของเขาทั้งหลายและเขาทั้งหลายจะไม่ระทม"
อัลกรุอาน 2 : 62
“และมาตรพวกเขา ดำรงมั่นในเตารอฮฺและอินญีล (โดยมิได้ปิดเบือน ) และได้ถูกประทานลงมาให้แก่พวกเขา จากพระผู้อภิบาลของพวกเขา แน่นอนพวกเขาจะได้กินทั้งจากเบื้องบนของพวกเขาและจากเบื้องล่างเท้าของพวกเขา ( คือได้รับการโปรดปรานจากฟากฟ้าและพื้นพิภพ ) ในหมู่ของพวกเขามีคณะที่แน่วแน่เที่ยงตรง ( อยู่ในสายกลางที่เที่ยงธรรม ) แต่ส่วนมากของพวกเขานั้น ความชั่วช้าแท้ๆ ที่พวกเขาได้กระทำ”
อัลกรุ-อาน 5 : 66
การยอมจำนนต่อพระองค์อัลลอฮ์
ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ มนุษย์ชาติพึงศรัทธาในอัลลอฮ์อย่างไร ? ในเมื่อความเป็นไปในด้านสังคมและวัฒนธรรม มีความแตกต่างกัน สำหรับบรรดามนุษย์ชาติทั้งมวล จำเป็นต้องมีความรับผิดชอบในการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ ดังนั้นจำเป็นต้องมีความรู้อย่างดี ในเรื่องเกี่ยวกับพระองค์อัลลอฮ์ เราได้เรียนรู้จากคัมภีร์อัลกรุอานว่า การยอมรับอัลลอฮ์ของมนุษย์ชาติได้มีในจิตวิญญาณของเขาอยู่แล้ว ซึ่งนับเป็นธรรมชาติ แต่เดิมของมนุษย์ตั้งแต่ถูกบังเกิด
ในซูเราะห์ อัล-อะอ์รอฟ ในโองการที่ 172-173 พระองค์อัลลอฮ์ ได้ทรงอธิบายให้ทราบว่า เมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างอาดัมผู้เป็นมนุษย์และศาสดาคนแรกขึ้นมา พระองค์ได้ทรงบันดาลให้ลูกหลานของท่านบังเกิดขึ้นบนพิภพ และให้เขาทั้งหลายกล่าวคำปฏิญานต่อพระองค์ว่า
“ ข้ามิใช่พระผู้อภิบาลของสู่เจ้าดอกหรือ ? เขาเหล่านั้นได้ให้คำยืนยันว่าถูกต้องแล้ว เราขอยืนยันต่อการเป็นพระผู้อภิบาลของพระองค์ ”
หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงสาธยายต่อไปถึงสาเหตุที่ทรงให้บรรดามนุษย์ชาติ ให้คำมั่นสัญญาว่าพระองค์คือ ผู้ทรงสร้าง และทรงเป็นผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง ผู้สมควรแก่การเคารพภักดีแต่เพียงผู้เดียว พระองค์ได้ทรงกล่าวว่าถ้าในกรณีที่สู่เจ้า ( มนุษย์ชาติ ) จะกล่าวอ้างแห่งวันฟื้นคืนชีพว่า
“ แท้จริงไม่เคยทราบถึงเรื่องเหล่านี้มาก่อน หรือไม่ทราบเลยว่าพระองค์คืออัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้าของเราไม่มีใครบอกให้เราทราบเลยว่าเราต้องเคารพภักดีต่อพระองค์เท่านั้นผู้เดียว ”
และอัลลอฮ์ได้ทรงอธิบายต่อไปว่า
“ หากว่าพวกเจ้าจะกล่าวในวันวั้นว่าแท้จริงบรรดาบรรพบุรุษของเราต่างหากผู้ซึ่งได้ตั้งภาคีให้แก่อัลลอฮ์และเราเป็นเพียงลูกหลานของเขาเหล่านั้น พระองค์จะได้ทำลายพวกเราเพราะเหตุที่เขา ( บรรพบุรุษ ) ได้ก่อการมุสากระนั้นหรือ ”
เหตุนี้เด็กทารกทุกคนได้ล้วนถูกกำเนิดมาด้วยความบริสุทธ์ ที่ศรัทธามั่นในอัลลอฮ์ และความโน้มเอียงในการเคารพภักดีต่อพระองค์ ตั้งแต่แรกคลอดซึ่งเรียกในภาษาอาหรับว่า “ ฟิตเราะห์ ”
กล่าวคือหากเด็กทารกได้ถูกละทิ้งโดยลำพัง เขาย่อมทำการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ตามวิถีทางของเขา แต่ทั้งนี้การเจริญเติบโตของเด็กส่วนมากได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเขา ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ท่านศาสดา เคยได้กล่าวว่าอัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า
“ ข้าได้สร้างบรรดาบ่าวของข้ามาในศาสนาอันเที่ยงตรง แต่บรรดามารได้ทำให้พวกเขาหลงทาง ”
และท่านศาสดาได้กล่าวอีกว่า
“ เด็กทุกคนล้วนเกิดมาในสภาพแห่ง ฟิตเราะห์ ธรรมชาติอันบริสุทธื หลังจากนั้น บิดา มารดา ได้ทำให้เขาเป็นยิว คริสต์ และบรรดาผู้บูชาไฟ เช่นเดียวกับปศุสัตว์ที่ได้คลอดลูกในสภาพที่เป็นธรรมชาติ ท่านเห็นบ้างไหมว่าตัวใดบ้างที่คลอดมาที่ผิดไปจากธรรมชาติดังกล่าวนั้น"
( รวบรวมโดย อัลบุคอรี และมุสลิม )
ดังนั้น เมื่อเด็กได้น้อมรับต่อกฎแห่งธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ตามที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดไว้ตามธรรมชาติกำหนด จิตวิญญาณของเขาก่อนก็ย่อมนอบน้อมโดยธรรมดาต่อความเป็นจริงที่ว่า อัลลอฮ์คือพระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ทรงสร้างของเขา แต่บิดามารดาของเขาต่างหากได้พยามทำให้เขาปฏิบัติในขณะเยาว์วัย เด็กยังไม่แข็งแรงพอที่จะต้านทาน หรือคัดค้านในความต้องการของบิดามารดาได้ ดังนั้นศาสนาที่เด็กปฏิบัติตามในขณะนั้น จึงถือเป็นเพียงประเพณี และการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนของผู้ปกครอง อัลลอฮ์จึงไม่เอาผิดและไม่ลงโทษเขาจากการปฏิบัติตามนั้นเนื่องจากสาเหตุดังกล่าวตลอดระยะเวลาที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ ตั้งแต่เยาว์วัยจนกระทั้งเสียชีวิต เขาสามารถสังเกตเห็นเครื่องหมายต่างๆมากมายในทุกภูมิภาคของพื้นโลก และแม้กระทั่งในร่างกายของเขาเอง
จากเครื่องหมายเหล่านี้เขาทราบเป็นอย่างดีถึงการมีอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้า หรืออัลลอฮ์ หากมนุษย์มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองแล้วไซร้ เขาจำเป็นต้องปฏิเสธพระเจ้าจอมปลอมทั้งหลายและแสวงหาเฉพาะอัลลอฮ์องค์เดียวเท่านั้น สู่หนทางที่จะทำให้เป็นการง่ายสำหรับเขา แต่หากว่าเขายังขืนปฏิเสธเครื่องหมายต่างๆแห่งอัลลอฮ์ และยังทำการเคารพบูชาสรรพสิ่งที่ถูกสร้างอยู่ต่อไป เขาก็จะหาทางรอดได้ยากยิ่งขึ้น
***ตัวอย่างเช่น เรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นในภาคใต้ของทิศตะวันออกของเขต อะเมซอน ซึ่งเป็นเขตป่าไม้ ประเทศบาซิล ชนเผ่าดั้งเดิมได้ก่อสร้างกระท่อมหลังใหม่ขึ้น เพื่อประดิษฐานบูชาควัตช์ ซึ่งถือเป็นตัวแทนพระเจ้าสูงสุดของสรรพสิ่งทั้งหลาย ในวันรุ่งขึ้นได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้าไปนมัสการ และในระหว่างที่เขากำลังกราบอยู่ต่อหน้าสิ่งที่เขาเข้าใจว่ามันคือพระผู้ทรงสร้าง และเป็นผู้ทรงประทานเครื่องยังชีพแก่เขานั้น ทันใดได้เห็นสุนัขตัวหนึ่ง ได้เดินเข้ามาในกระท่อม ตอนที่เขาได้เงยหน้าขึ้นดูพอดีเขาได้เห็นสุนัขตัวนั้นได้ยกขาขึ้นและเยี่ยวรดรูปปั้นบูชา ด้วยความเจ็บแค้นใจชายหนุ่มคนนั้นจึงไล่ติดตามสุนัข ออกไปนอกวัด แต่เมื่อความโกรธได้ลดลง เขาจึงคิดและสำนึกขึ้นได้ว่า รูปปั้นนั้นคงเป็นพระเจ้าแห่งสากลจักรวาลไม่ได้เป็นแน่ ฉะนั้นพระเจ้าต้องอยู่ที่อื่น เขาจึงควรเลือกที่จะปฏิบัติตามความคิดสติปัญญา และแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า หรือไม่ก็คงต้องกระทำการที่ไม่ซื่อสัตย์ และหลอกลวงตนเองอยู่ตลอดไป ตามความเชื่อที่ผิดๆ ของเผ่าพันธุ์ของเขา มันอาจจะเป็นเรื่องแปลก แต่ทว่านั้นเป็นสัญญานหนึ่งจากอัลลอฮ์ ที่ได้เกิดขึ้นกับชายหนุ่ม มันเป็นสัญญานที่แนะนำว่าสิ่งที่เขาเคารพบูชาอยู่นั้นเป็นสิ่งที่หลงผิด
บรรดาท่านศาสดาได้ถูกส่งลงมายังประชาชาติทุกเผ่าพันธุ์ ดังได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะช่วยค้ำจุนเอาไว้ซึ่งธรรมชาติอันบริสุทธิ์แห่งมนุษย์ชาติในความเชื่อที่พึงมีต่ออัลลอฮ์ และการโน้มเอียงที่มีมากำเนิดของมนุษย์ชาติ ต่อการเคารพภักดีต่อพระองค์ พร้อมทั้งสนับสนุนความเป็นจริงแห่งพระผู้เป็นเจ้าในสัญญานต่างๆ ที่พบเห็นประจำวัน ที่อัลลออฮ์ได้ทรงประทานให้ แม้ต่อมาคำสอนของท่านศาสดาส่วนมากจะถูกบิดเบือนไป แต่บางส่วนก็ยังรักษารูปเดิมไว้ได้ คำสอนเหล่านั้นได้ชี้แนะถึงสิ่งที่ถูกต้องและสิ่งที่ผิด เช่น ในกรณีของบัญญัติ 10 ประการ ของคัมภีร์เตารอฮ์ การยืนยันเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของท่านนบีอีซาในคัมภีร์พันธะสัญญาใหม่ กฎหมายก็ยังคงมีอยู่ซึ่งได้บังคับใช้ในกรณีเกิดคดีฆ่า ลักขโมย ผิดประเวณีในสังคมมนุษย์
เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกชีวิตต้องรับผิดชอบต่อความศรัทธา เชื่อมั่นในอัลลอฮ์ (พระเจ้า) และการยอมรับในศาสดาแห่งอัลลอฮ์ หรือ อัลอิสลาม อันหมายถึงการนอบน้อม และยอมตนยังพระประสงค์แห่งอัลลออฮ์
เราขอพรต่อพระองค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงได้รับการยกย่องสรรเสริญทรงได้โปรดคุ้มครองรักษาเราให้อยู่ในหนทางที่ถูกต้อง ยังหนทางที่พระองค์ได้ทรงชี้นำ และแท้จริงพระองค์คือ ผู้ทรงกรุณา ผู้ทรงปรานีเสมอ การสรรเสริญทั้งมวล ความกตัญญูจึงมีแด่พระองค์ พระผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลจักรวาลและขอประสาทพร สันติสุข ความจำเริญ จงมีแด่ท่านศาสดา ครอบครัวของท่าน บรรดาสาวกของท่าน ตลอดถึงบรรดาผู้ปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านเหล่านั้นด้วยเทอญ .... อามีน ยาร็อบบิ้ลอาลามีน
สนง.การประสานงานเพื่อการเชิญชวนและแนะนำ กรุงริยาฏ ซาอุดิอาระเบีย