ศาสนาที่เที่ยงแท้
โดย อบู อะมีนะห์ บิลาล ฟิลิปส์
الكاتب : أبو أمينة بلال فليب
ศาสนาอิสลาม
สิ่งแรกที่มนุษย์เราควรรับทราบ และทำความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับศาสนาอิสลามก็คือ ความหมายของคำว่า อัลอิสลาม ศาสนาอิสลามไม่ได้ถูกตั้งขึ้นมาตามชื่อบุคคล อย่างเช่นศาสนาอื่นๆ เช่น ศาสนาคริสต์ได้ตั้งตามชื่อ ขิงเตซูไรสท์ และศาสนาพุทธถูกตั้งชื่อตามพระพุทธเจ้า ส่วนศาสนาขงจื้อ ก็ถูกตั้งชื่อตามขงจื้อ และลัทธิมาร์คซิสม์ก็ถูกตั้งชื่อตามคาร์ล มาร์ค หรือไม่ก็จะตั้งชื่อตาม ยูดาห์ และศาสนา ฮินดูก็ได้ถูกตั้งชื่อตามฮินดู เป็นต้น
อิสลามเป็นศาสนาที่แท้จริงของอัลลอฮ์ ด้วยเหตุนี้ชื่อของศาสนานี้ ซึ่งหมายถึงหลักการแห่งพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ ) หรือการนอบน้อมยอมตนยังพระประสงค์แห่งพระองค์ คำว่า อิสลาม เป็นศัพย์ภาอาหรับ แปลว่า การยอมจำนน การนอบน้อมยอมตนต่ออัลลอฮ์อันเป็นที่แท้จริง และควรแก่การเคารพภักดี และผู้ใดได้ปฏิบัติเช่นนั้นย่อมได้ชื่อว่า มุสลิม นอกจากนั้นคำๆนี้ยังหมายถึง ความสันติ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการมอบตนเองอย่างสิ้นเชิงยังจุดประสงค์แห่งอัลลอฮ์ ด้วยเหตุดังกล่าว อิสลามจึงไม่ใช่ศาสนาไหม่ที่พึ่งถูกนำมาโดยท่านศาสดามูฮัมหมัด เมื่อศตวรรษที่ 7 เมื่อผ่านมา ณ ประเทศอาหรับเท่านั้น แต่เป็นศาสนาที่แท้จริงและดั้งเดิมของอัลลอฮ์ ที่ได้ถูกนำมากล่าวถึงอีกครั้งต่างหาก
อิสลามเป็นศาสนาเดียวกันที่ได้ถูกประทานให้แก่ศาสดาอาดัม มนุษย์และศาสดาคนแรกของโลก สู่มวลมนุษย์ชาติทั้งปวง ชื่อของศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้า อิสลาม มิได้ถูกตั้งขึ้นโดยมนุษย์รุ่นหลังๆแต่ได้ถูกเลือกโดยอัลลอฮ์ ด้วยพระองค์เอง และได้กล่าวถึงอย่างชัดเจนในคัมภีร์ อัลกรุอานโองการสุดท้ายที่ได้ถูกประทานลงมายังมวลมนุษย์ชาติพระองค์ทรงกล่าวว่า
ข้า ( อัลลอฮ์ ) ได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์สำหรับพวกเจ้าแล้ว และได้ให้ความโปรดปรานของข้าครบถ้วนแก่พวกเจ้า และข้าได้พึงใจ (เลือก) อิสลามเป็นศาสนาสำหรับพวกเจ้า" อัลกรุอาน 5:3
และผู้ใดแสวงอื่นไปจากศาสนาอิสลาม ดังนั้นมันจะไม่ถูกยอมรับจากพระองค์ อัลกรุอาน 3: 85
และอิบรอฮีม (อับราฮัม) ไม่ได้เป็นยิวและไม่ได้เป็นคริสต์ แต่เขาเป็นผู้เที่ยงธรรม ผู้นอบน้อม ( มุสลิม )" อัลกรุอาน 3:67
ท่านจะไม่พบในคัมภีร์ไบเบิลเลยว่า พระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ )ได้ทรงตรัสต่อประชาชาติของศาสดามูซา (โมเสส ) หรือลูกหลานของเขาเหล่านั้นว่า ศาสนาของพวกเขาคือยูดาย และพระองค์ก็มิได้ทรงตรัสต่อผู้เลื่อมใสในพระเยซูคริสต์ ความจริงแล้วแม้กระทั้งชื่อของท่านก็ไม่ใช่พระเยซู เพราะคำว่า คไรส์ นั้นมาจากศัพท์ภาษากรีกว่า คไรสท์โตส christ ซึ่งหมายความว่า ถู ขัด เช็ด นั่นหมายถึง คำว่า คไรสท์ christ เป็นศัพท์ภาษากรีก ที่ถูกแปลมาจากภาษาฮิบรูว่า เมสสิอาห์ messiah ซึ่งเป็นเพียงฮายาและส่วนคำว่า เยซู เป็นศัพท์ภาษาลาติน ที่ได้มาจากภาษา ฮิบรู ว่า อีซา esau
เพื่อเป็นการง่ายในการทำความเข้าใจข้าพเจ้าใคร่ขอเรียกท่านศาสนฑูต อีซา ว่า เยซู ศาสนาของท่านคือสิ่งที่ท่านได้เชิญชวนบรรดาผู้เลื่อมใส อันเป็นสิ่งเดียวกับบรรดาศาสดาก่อนหน้าท่านได้ปฏิบัติและเชิญชวนมา ท่านได้เชิญชวนประชาชนของท่านสู่การนอบน้อม ยอมจำนนอย่างสิ้นเชิงยังพระประสงค์แห่งอัลลอฮ์ (นั่นคืออิสลาม ) และท่านได้ตักเตือนประชาชนของท่านให้ออกห่างจากเจ้าจอมปลอมที่มนุษย์ได้กุขึ้น ในคัมภีร์พันธะสัญญาใหม่ ท่านศาสดาเยซูได้สอนให้บรรดาสาวกและผู้เลื่อมใสสวดคำวิงวอนดังนี้
ความประสงค์แห่งพระองค์ท่าน (อัลลอฮฺ ) จะเกิดขึ้นบนพื้นพิภพนี้ ดังได้มีขึ้นในสวนสวรรค์
สาส์นแห่ง อัล-อิสลาม
เนื่องจากการมอบตนเองยังพระประสงค์แห่งอัลลอฮ์ อย่างสิ้นเชิงนั้น เป็นการแสดงถึงแก่นแท้แห่งการเคารพภักดี ซึ่งเป็นรากฐานแห่งสาส์นแห่งอัลลอฮ์ ทั้งนี้เพราะทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นสิ่งที่ถูกสร้างมาจากพระองค์ อาจกล่าวได้ว่าแก่นแท้ของอัลอิสลามก็คือการเรียกร้องมนุษย์ให้ออกห่างจากการเคารพภักดีต่อสิ่งที่ถูกสร้าง แต่ทว่าเชิญชวนมนุษย์สู่การเคารพภักดีต่อผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่สมควรได้รับการเคารพภักดี เพราะการขอพรจะถูกสนองตอบโดยพระองค์เท่านั้น หากมนุษย์วิงวอนขอต่อต้นไม้ และบังเอิญคำวิงวอนของเขาถูกตอบรับ ไม่ได้หมายความว่า ต้นไม้ได้ตอบสนองคำวิงวอนขอของเขา แต่อัลลอฮฺต่างหากที่เป็นผู้อนุมัติให้สถานการณ์เป็นไปตามที่เขาวิงวอนขอ แต่สำหรับผู้บูชาต้นไม้แล้วมันย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน เช่นเดียวกันจะวิงวอนขอแต่ท่านพระเยซุ พระพุทธเจ้า พระกฤษณา นักบุญคริสโตเฟอร์ นักบุญยูเด หรือแม้แต่ท่านศาสดามูฮัมหมัด ผู้ซึ่งเป็นบ่าวผู้ใกล้ชิดอัลลอฮ์มากที่สุด ก็ย่อมไม่ถูกตอบรับ แต่การตอบรับนั้นเป็นไปโดยอัลลอฮ์เท่านั้น
ท่านศาสดาอีซา ( พระเยซูคริสต์ ) มิได้สั่งสอนให้ศรัทธาในคำสอนของตัวท่านเอง หรือเคารพภักดีในตัวท่าน แต่ให้เคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง ดังปรากฏอยู่ในคัมภีร์ อัลกรุอาน ความว่า
และ ( เจ้าจงลำลึกถึงเวลา ) เมื่ออัลลอฮฺจะทรงตรัส ( ในวันฟื้นคืนชีพว่า ) โอ้อีซาบุตรมัรยัมเอ๋ย (เมื่อยังมีชีวิตอยู่ในโลก ) เจ้าพูดแก่มนษย์หรือว่า จงยึดถือฉันและแม่ของฉันเป็นพระเจ้าสององค์อื่นจากอัลลอฮ์ เขากล่าวว่า มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ ไม่พึงในสิ่งที่ฉันจะกล่าวในสิ่งที่ฉันไม่มีสิทธื (ที่จะกล่าวเช่นนั้น ) อัลกรุอาน 5:116
ท่านศาสดาอีซามิได้ตั้งตนเองขึ้นเป็นพระเจ้า ถึงแม้ว่าท่านจะได้รับการเคารพภักดีจากผู้อื่นจากอัลลอฮ์ แต่ตัวท่านเองเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์องค์เดียวเท่านั้น หลักการพื้นฐานสำคัญข้อนี้ ได้ถูกกล่าวถึงไว้ในอารัมภบทหรือ ซูเราะอัลฟาติหะฮ์ (โองการที่4 ) ดังนี้ว่า
ความว่า เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราเคารพภักดี และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ
และพระองค์อัลลอฮฺได้ทรงตรัสอีกในโองการหนึ่งของอัลกรุอานว่า
ความว่า และผู้อภิบาลของสู่เจ้าทรงตรัสว่า จงขอต่อข้าและข้าจะตอบสนองคำขอของเจ้า อัลกรุอาน / 60
เป็นที่น่าสังเกตว่า สาส์นขั้นพื้นฐานแห่งอิสลาม ก็คือได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างในเอกลักษณ์ระหว่างอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง กับสรรพสิ่งที่ถูกสร้างของพระองค์ กล่าวคืออัลลอฮ์ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้าง และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย หรือสรรพสิ่งทั้งหลาย คือ พระองค์เป็นส่วนหนึ่งของพระองค์เอง
เป็นที่ประจักษ์อย่างชัดแจ้งว่าการที่มนุษย์หันไปเคารพบูชาต่อสรรพสิ่งถูกสร้างแทนที่จะเคารพภักดีต่อพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรค์สิ่งเหล่านั้น ส่วนมากมีสาเหตุมาจากความไม่เข้าใจต่อแนวความคิด เช่น เชื่อว่าอัลลอฮ์ทรงมีอยู่ในทุกแห่งหน ในสิ่งถูกสร้างต่างๆ และทรงมีอยู่หรือเคยมีอยู่หรือเคยมีอยู่ในสรรพสิ่งถูกสร้างในบางลักษณะ ซึ่งได้ถูกนำมาเป็นเหตุผลในการเคารพภักดีสรรพสิ่งถูกสร้างต่างๆ แม้ว่าการเคารพภักดีอาจจะถูกเข้าใจว่า เป็นการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ โดยวิธีผ่านสิ่งถูกสร้างของพระองค์เป็นสื่อก็ตาม
อย่างไรก็ตามตามสาส์นแห่งอัล-อิสลามดังที่ได้นำมาโดยบรรดาศาสดาแห่งอัลลอฮฺ คือการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺเพียงองค์เดียว และให้ห่างไกลจากการเคารพภักดีต่อสรรพสิ่งที่ถูกสร้างของพระองค์ ทั้งนี้ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ดังที่พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า
ความว่า แท้จริงเราได้ส่งเราะซูล (ศาสนฑูต) มายังทุกประชาชาติ ( โดยคำบัญชาใช้ ) ให้เคารพภักดีต่อข้า ( อัลลอฮ์ ) และให้ออกห่างจากพระเจ้าจอมปลอม (อัลกุรอาน 16 : 36 )
เมื่อบรรดาผู้กราบไหว้รูปปั้นได้ถูกสอบถามถึงสาเหตุของการกระทำขึ้น คำตอบที่มักได้รับ คือ พวกเขาเพียงแต่เคารพภักดีพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในรูปปั้นเท่านั้น เขาต่างอ้างว่ารูปปั้นหินเป็นเพียงจุดศูนย์รวมแห่งธาตุแท้ของพระเจ้าและมันเองหาใช่พระเจ้าไม่
ใครก็ตามที่ได้ยอมรับเอาแนวความคิดการมีอยู่ของพระเจ้าในสิ่งถูกสร้าง ย่อมยอมรับตามเหตุผลของผู้เคารพบูชารูปปั้น ในขณะที่บุคคลผู้มีความเข้าใจในสาส์นขั้นต้นแห่งอิสลาม และคำสั่งสอนอย่างแท้จริงจะไม่ยินยอมต่อการเคารพรูปปั้นอย่างเด็ดขาด ถึงแม้จะได้รับการอธิบายด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม
บรรดาผู้อ้างตนเป็นพระเจ้า นับตั้งแต่ยุคโบราณกาล ได้พยามอ้างเหตุผลความเชื่อถือที่ผิดๆ โดยกล่าวว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในร่างของมนุษย์ พวกเขาได้แสดงสิทธิ์ว่าถึงแม้พระเจ้าจะทรงสถิตอยู่ในตัวของเราทุกคน ตามความเชื่อถือของพวกเขาแต่พระองค์ทรงสถิตอยู่ในร่างของพวกเขามากกว่าคนอื่นๆ ด้วยการกล่าวอ้างนี้ เราจึงสมควรเคารพบูชา นอบน้อมต่อพวกเขาเหล่านี้ ทั้งนี้หากไม่ใช่พระเจ้า ในร่างมนุษย์ก็อาจจะเป็นศูนย์รวมของพระเจ้าที่อยู่ภายในร่างของมนุษย์ทำนองเดียวกัน บรรดาผู้ที่เชื่อว่า คนนั้น คนนี้เป็นพระเจ้า หลังจากที่เขาได้ตายไปแล้วนั้น รวมทั้งบรรดาผู้ที่ยอมรับแนวความเชื่อที่ผิดๆเกี่ยวกับการสถิตของพระเจ้าในร่างของมนุษย์ต่างก็ยอมรับข้ออ้างนั้นเป็นอย่างดีสำหรับผู้ที่เข้าใจในหลักการแห่งสาส์นขั้นพื้นฐานและบทคำสอนของอิสลามย่อมไม่ยินยอมเป็นอันขาดที่จะเคารพบูชามนุษย์ ไม่ว่าจะตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ เช่นใด
แก่นแท้ในหลักการศรัทธาคือความเชื่อถือของศาสนาของอัลลอฮ์ คือ การเรียกร้องเชิญชวนต่อการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ ผู้ทรงสร้างองค์เดียว และปฏิเสธต่อการเคารพบูชาต่อสิ่งถูกสร้างต่างๆ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นมนุษย์ ลิง วัว ช้าง ภูเขา ดวงดาว หรืออื่นๆก็ตาม นี่คือความหมายที่แท้จริงของคติพจน์แห่ง อัลอิสลามที่ว่า
ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่มีสิทธิ์ในการเคารพภักดี นอกจากอัลลอฮ์
ผู้ใดได้ เปล่งคำๆนี้ ด้วยจิตใจที่ศรัทธามั่น เขาจะได้อยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งอิสลามและศรัทธาอย่างบริสุทธิ์ใจ และด้วยความเชื่อมั่นในคำๆนี้เขาจะได้เข้าสู่สวนสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ท่านศาสนฑูตสุดท้ายแห่ง อัล-อิสลาม ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่กล่าวว่าไม่มีพระเจ้า อื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ หลังจากนั้นเขาได้ตายไปจากโลกนี้ ด้วยความเชื่อมั่นดังกล่าว เขาย่อมจะได้เข้าสวนสวรรค์อย่างแน่นอน ( รายงานโดย อบูซารฺ รวบรวมโดยมุสลิม และอัลบุคอรีย์ )
นอกจากนี้ คำๆนี้ ยังมีความหมายรวมถึงการยอมจำนนโดยสิ้นเชิงยังประสงค์แห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเอกะ การมอบตนต่อพระองค์ด้วยความยำเกรงและเชื่อฟังต่อบทบัญญัติของพระองค์ รวมทั้งการปฏิเสธการเชื่อในพระเจ้าหลายพระองค์Click >>>ติดตามต่อตอนที่ 2