สิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องทราบ
คุณทราบหรือไม่ ????
1. โลกใบกลมๆ ที่กลมกลืนและงดงาม ฝากฟ้าและแผ่นดิน ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ต่างโคจรไปในจักรวาลอย่างมีระเบียบและเป็นระบบมวลมนุษย์และสรรสิ่งที่มีอยู่บนโลกเหล่านี้ ไม่สามารถที่มีมาได้ด้วยตนเองหรือธรรมชาติ แน่นอนต้องมีผู้สร้าง และผู้สร้างนั้นคืออัลลอฮฺ
2. อัลลอฮฺ คือพระเจ้าที่แท้จริง ผู้ทรงสร้างมนุษย์ และมวลสรรสิ่งต่างๆ พระองค์เป็นผู้คุ้มครอง และผู้ดูแลสิ่งต่างๆ พระองค์ทรงมีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง ทรงรอบรู้ยิ่ง ทรงมีชีวิต และทรงให้ตาย ทรงอำนวยและทรงเอาคืนปัจจัยยังชีพ ประทานความโปรดปราน ทรงให้ความสุขสบาย ทรงให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ทรงให้ฟื้นคืนชีพในโลกหน้า
ทั้งหมดนี้ พระองค์ทรงกระทำตามความประสงค์ของพระองค์ ดังนั้นทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ย่อมอยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น ธรรมชาติของมนุษย์ต่างยอมรับต่อการมีอยู่ของอัลลอฮฺ แม้ว่าความคิดเห็นและอารมณ์ของเขาไม่ยอมรับ
พึงสังเกตุ หากผู้หนึ่งผู้ใดประสบกับความทุกข์ยากที่มหันต์ จิตใจหว้าวุ่นอยู่ตลอดเวลาความทุกข์ยากเช่นนี้ หมอที่ชำนาญการก็ไม่สามารถความเจ็บปวดนั้นได้ แม้ว่าจะมีการให้ยาที่ทรงคุณภาพก็ตาม แต่จิตใจกลับทวีความเจ็บปวดเรื่อยมา ความเก่งและความชำนาญทางการแพทย์ในโลกนี้ ไม่สามารถอำนวยประโยชน์แก่ผู้นั้นได้เลย ในสภาพเช่นนี้เราจะไปพึ่งอะไร หวังความช่วยเหลือจากใคร และจะมีความเป็นอยู่อย่างไร ?
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของมนุษย์กระสิบบอกแก่จิตใจว่า ยังมีอำนาจหนึ่งที่สามารถอำนวยความสะดวกสบายความราบรื่นและความปลดปล่อยจากความเจ็บปวดเหล่านั้นได้ อำนาจใดเล่าที่สามารถประทานสิ่งเหล่านี้ ? มิใช่อื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ พระองค์ที่แท้จริง
3. มนุษย์คนแรกที่อัลลอฮฺ ทรงสร้างคือ อาดัม คนที่สองคือ ฮาวา ภรรยาของท่านเอง จากสามีภรรยาคู่นี้เอง ที่ให้กำเนิดลูกหลานไปทั่วโลก
มนุษย์ทุกคนมาจากอาดัมและฮาวา อาดัมถูกสร้างมาจากดิน และฮาวาถูกสร้างจากส่วนหนึ่งของอาดัม ฉะนั้นมนุษย์ถูกสร้างมาจากดิน และเพิ่มวงศ์ตระกูลจากอสุจิ มิใช่มาจากลิง ดังที่บางคนเข้าใจกัน
4. อัลลอฮฺทรงประทานคำสอนและศาสนาของพระองค์แก่อาดัมและมนุษย์ทุกคน เพื่อนับถือศาสนาอิสลาม อาดัม ฮาวา และลูกหลานของท่านต่างนับถือศาสนาอิสลาม ที่ภักดีต่ออัลลอฮฺองค์เดียวปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ในชีวิตประจำวันไม่เคารพ บูชาและภักดีต่อสิ่งอื่น แต่พอนานเข้า ลูกหลานอาดัมถูกมานร้ายชัยฏอนหลอกลวงจึงทำให้ไปบูชาต่อสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของอัลลอฮฺในชีวิตประจำวัน
5. เมื่อมนุษย์หลงผิดจากแนวทางของอัลลอฮฺ พระองค์จึงประทานศาสนาทูตมา เพื่อแก้ไขของมวลมนุษย์ อย่างเช่น นูหฺ อิบรอฮีม มูซา อีซา ฯลฯ จนกระทั่งศาสนฑูต ท่านสุดท้าย คือ มุฮัมมัด
6. คำสอนของอัลลอฮฺที่สำคัญและจำเป็นที่สุด คือ การภาคีต่ออัลลอฮฺเพียงผู้เดียว โดยปราศจากการตั้งภาคีต่อพระองค์ หรือบูชากรราบไหว้ต่อสิ่งอื่นอย่างสิ้นเชิง กอปรกับยอมรับว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮฺ และท่านมุฮัมมัดนั้น เป็นศาสนทูตของพระองค์พร้อมกันนั้น มีการปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์อย่างแท้จริงในชีวิตประจำวัน
7. ตามคำสอนของอัลลอฮฺ ผู้ที่ยอมรับเช่นนั้น จะเรียกว่า “มุสลิม” ( ผู้ที่ยอมมอบตนต่ออัลลอฮฺ ) เขาจะได้รับความโปรดปราน ความสงบสุข ความราบรื่นในสวนสวรรค์ตลอดกาลนาน และผู้ใดที่ไม่ยอมรับเช่นนี้ จะเรียกผู้นั้นว่า “ กาฟิร์ ” ผู้ปฏิเสธ (ที่ถูกปกปิดประตูแห่งจิตใจและปฏิเสธต่ออัลลอฮฺ) เขาจะได้รับไฟนรกเป็นผลตอบแทนซึ่งเป็นการทรมานและลงโทษชั่วนิรันดร์
8. ปฏิบัติตามคำสอนของอัลลอฮฺศาสนาที่พระองค์ทรงประทานและทรงพอพระทัยนั้นคือ ศาสนาอิสลามเท่านั้น ซึ่งนอกเหนือจากศาสนาอิสลามแล้วพระองค์จะไม่ทรงพอพระทัย
9. โลกที่เราอาศัยอยู่ปัจจุบันนี้ ย่อมมีวันสิ้นสุด ฝากฟ้า แผ่นดิน ภูเขาและทุกสรรพสิ่งจะต้องสูญมลายทั้งสิ้น อัลลอฮฺจะทรงทำให้ทุกอย่างสูญสิ้น แล้วพระองค์จะทรงให้ฟื้นคืนชีพออีกครั้งหนึ่ง หลังจากได จากโลกนี้ไปแล้ว ซึ่งเรียกว่าโลกอาคิเราะฮฺ
10. โลกอาคิเราะฮ์ เป็นโลกที่อัลลอฮฺจะทรงตอบแทนแก่มวลมนุษย์ ตามความประพฤติและปฏิบัติของเขา เมื่อครั้นอาศัยอยู่บนโลกนี้ ไม่ว่าจะตอบแทนด้วยสวรรค์หรือไฟนรก
พฤติกรรมของมนุษย์บนโลกนี้ จะถูกสอบสวนและคำนวณอย่างละเอียดที่สุดทั้งที่เป็นพฤติกรรมที่ดีหรือพฤติกรรมชั่ว จากนั้นอัลลอฮฺ จะทรงตอบแทนตามผลคำนวณจากพฤติกรรมที่ดีหรือพฤติกรรมที่ไม่ดี มุสลิมที่ประกอบคุณงามความดีมากกว่าการกระทำชั่ว ย่อมได้รับสวนสวรรค์ และมุสลิมที่ประกอบความชั่ว เลวร้ายมากกว่าคุณงามความดี ก็ต้องเข้านรก ชำระบาปด้วยการทรมานจนเมื่อหมดมลทินแล้ว จะได้พำนักในสวนสวรรค์ตลอดกาลนาน ส่วนผู้ที่กาฟิรฺ ( ปฏิเสธ ) ต่ออัลลอฮฺไม่ยอมรับท่านศาสดามุฮัมหมัด ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ผู้นั้นต้องเข้านรกตลอดกาลนาน แม้ว่าจะประกอบคุณงามความดีบนโลกนี้ก็ตามเพราะผลของคุณงามความดีที่ได้สร้างและสะสมไว้บนโลกนี้ จะไร้คุณค่าในโลกหน้า ทั้งนี้เพราะเขาปฏิเสธอัลลอฮฺ และศาสนทูตนั่นเอง
11. มนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ทุกคนต้องตาย หลังจากตายแล้วเขาต้องอยู่ในโลกแห่งสุสาน ในโลกแห่งสุสานเขาจะได้รับการตอบแทนที่ดีหากเขาเป็นมุสลิมและประพฤติดีบนโลกนี้ ในขณะเดียวกันเขาจะได้รับผลตอบแทนที่ไม่ดี การทรมาน หากเขาเป็นกาฟิรฺ ( ผู้ปฏิเสธ ) บนโลกนี้สภาพเช่นนี้จะมีอยู่ตลอดไป จนกว่าจะถึงวันแห่งอาคิเราะฮฺ
12. อัลลอฮฺมิได้บังคับมวลมนุษย์เพื่อยอมรับและนับถือศาสนาอิสลาม แต่พระองค์ทรงมอบสติปัญญา สำหรับคิดใคร่ครวญ อีกทั้งพระองค์ยังทรงได้ชี้แนะแนวทางที่ดี และแนวทางที่ชั่ว สิ่งที่ไม่ดี แก่มวลมนุษย์ พร้อมกับนี้พระองค์ก็ยังทรงบอกกล่าวถึงผลตอบแทนที่จะมีขึ้น ทั้งที่เป็นการตอบแทนที่ดีและไม่ดี
ดังนั้นตัวมนุษย์เองต้องใคร่ครวญอย่างรอบคอบว่าเลือกเดิน / ใช้ชีวิตไปแนวทางใด
พำนักในสวนสวรรค์ตลอดกาล อยู่ในนรกตลอดกาล
มุสลิม กาฟิรฺ
สวนสวรรค์ นรก
ผลตอบแทน ผลตอบแทน
อิสลาม กาฟิรฺ
แนวทางที่ดี แนวทางที่ไม่ดี
จงคิดใคร่ครวญ
13. มนุษย์ทุกคนต้องตาย หลังจากตายแล้ว แน่นอนต้องพบกับอัลลอฮฺ ซึ่งไม่สามารถหลบหนีหรือปกปิดพฤติกรรมแก่อัลลอฮฺได้ อัลลอฮฺทรงตอบแทนด้วยความยุติธรรมยิ่งพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจในโลกอาคิเราะฮฺ ไม่มีผู้ใดที่มีอำนาจนอกจากอัลลอฮฺ เพียงผู้เดียว
สวรรค์และนรกเป็นของอัลลอฮฺพระองค์เท่านั้นที่จะทรงกำหนดว่า ผู้ใดจะได้รับสวรรค์และผู้ใดต้องเข้านรก และจงอยู่ในนั้นตลอดไป มนุษย์ทุกคนพึงทราบว่า การใช้ชีวิตบนโลกนี้มีเวลาชั่วครู่เท่านั้น หากได้รับความสุขสบายก็เพียงกระพริบตา แต่โลกอาคิเราะฮฺ จะคงอยู่ต่อไปตราบนิรันดร์
14. คำสอนที่อัลลอฮฺให้ปฏิบัติ ส่วนหนึ่งคือ
14.1 ยอมรับว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ที่ต้องเคารพภักดีอย่างแท้จริง นอกจากอัลลอฮฺและยอมรับว่าท่านมุฮัมมัดนั้น เป็นศาสนทูตของพระองค์ ( การยอมรับเช่นนี้ ต้องยอมรับเป็นภาษาอาหรับ ) และแสดงให้เห็นว่าได้เป็นมุสลิมแล้ว ซึ่งหมายถึง เขาไม่เคารพบูชาสิ่งอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺผู้เดียวเท่านั้น และจะปฏิบัติตามคำสอนของอัลลอฮฺในชีวิตประจำวัน
14.2 ดำรงละหมาดวันละ 5 เวลา ถือศีลอด ปีละหนึ่งเดือน จ่ายซะกาต
14.3 สร้างคุณงามความดีแก่พ่อแม่ สามี ภรรยา ลูกๆ ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน แขกผู้มาเยือน ผู้ยากจน เด็กกำพร้า เยี่ยมเยียนผู้เจ็บไข้ได้ป่วย ฯลฯ
14.4 ดำเนินการตัดสินต่างๆด้วยความยุติธรรม
14.5 ให้เกียรติต่อผู้หลักผู้ใหญ่ และคนชราพร้อมกับให้ความเอ็นดูต่อเด็กๆ
14.6 ศึกษาหาความรู้ที่เป็นประโยชน์ และสร้างความเจริญก้าวหน้า ตามหลักวิชาการและความรู้ที่แท้จริง
14.7 ให้คำปรึกษาและแนะนำในสิ่งที่ดีแก่ผู้อื่น และคบค้าสมาคมอย่างดีต่อเพื่อนมนุษย์
14.8 ปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้
15. สิ่งที่อัลลอฮฺทรงห้าม ไม่ดี ส่วนหนึ่งคือ
15.1 ตั้งภาคี และเคารพบูชาสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ
15.2 เนรคุณพ่อแม่ ไม่เชื่อฟังสามี เหยียบหยามผู้ตกทุกข์ได้ยาก
15.3 อยุติธรรมในการตัดสิน อธรรมต่อเพื่อนมนุษย์ ทารุณต่อผู้บริสุทธิ์
15.4 หยิ่งยโส อิจฉาริษยา และคิดไม่ดีต่อผู้อื่น
15.5 พูดปด โกรธเคือง ด่าผู้อื่น ใส่ร้ายป้ายสี นินทา หลอกลวง เป็นพยานเท็จ สายานเท็จ
15.6 ลักขโมย ปล้นจี้ ทำลายทรัพย์สินผู้อื่น สร้างความรำคาญและเจ็บปวดแก่ผู้อื่น ละเมิดสิทธิเพื่อนมนุษย์
15.7 เล่นการพนัน รับดอกเบี้ย
15.8 คดโกงตาชั่ง ตักตวง ไม่จ่ายหนี้ สิน
15.9 ผิดประเวณี เลสเบี้ยน แก้ผ้าเปลือยตัว เปิดเผยเอาเราะฮ์ อยู่ร่วมระหว่างผู้ชายและสตรีอย่างไร้พรมแดนแห่งศาสนา
15.10 ทะเลาะวิวาท สร้างศัตรูต่อกัน ฆ่าตัวเอง และผู้อื่น
15.11 ดื่ม เสพของเมา เช่น สุรา และทุกสิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น ยาพิษ เฮโรอีน กัญชา เนื้อสุกร ฯลฯ
16. พึงทราบ คำสอนทั้งหมดของอัลลอฮฺ ย่อมนำมาซึ่งความดีและคุณประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์ และสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามนั้น แน่แท้เป็นสิ่งที่ไม่ดี และนำมาซึ่งอันตรายทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อปฏิบัติตามคำสอนและคำห้ามของพระองค์แล้ว ก็จะมีชีวิตความเป็นอย่างที่ดีงามและปลอดภัยจากสิ่งอันตรายทั้งปวง เมื่อนั้นย่อมนำมาซึ่งความราบรื่น สงบสุข แก่ชีวิตในโลกนี้และโลกหน้าในที่สุด แต่หากไม่ปฏิบัติตามคำสอนของอัลลอฮฺ ก็จะไม่พบกับความสุขสบายในโลกนี้และโลกหน้า
17. การรับและนับถือศาสนาอิสลาม เป็นสิ่งที่ง่ายและไม่ยาก เพียงแต่คำกล่าวปฏิญาณตนด้วยจิตใจที่บริสุทธ์ว่า
“ ฉันขอปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮฺ และฉันขอปฏิญาณตนว่า มุฮัมมัดนั้นเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ ”
ด้วยคำปฏิญาณเช่นนี้ หมายถึง ได้เข้ารับอิสลามแล้ว ซึ่งความชั่วและบาปต่างๆที่ได้เคยปฏิบัติมาก็จะได้รับการชำระและอภัยโทษ จะเป็นคนที่บริสุทธิ์จากเหล่าความชั่วและบาปกรรมต่างๆแต่เมื่อกระทำสิ่งที่ไม่ดีอีก หลังจากรับอิสลามแล้วก็ต้องรับผิดชอบในส่วนนั้นไป และหากเสียชีวิตหลังจากกล่าวปฏิญาณแล้ว โดยที่ไม่ทันจะประกอบความดีต่ออัลลอฮฺ เขาก็เป็นมุสลิม และมีสิทธิ์ได้รับสวนสวรรค์จากพระองค์
18. มุสลิมทุกคนมีหน้าที่ต้องเผยแพร่สิ่งเหล่านี้แก่มวลมนุษย์ทุกคน เพราะต้องรับผิดชอบต่อพระพัตรของอัลลอฮฺ หากเขาไม่เผยแผ่แก่มวลมนุษย์
19. ผู้ใดรับอิสลาม ก็จะเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง มิใช่ใครอื่นใด ดังนั้น หากไม่ยอมรับอิสลาม ก็จะได้รับโทษในนรก เมื่อนั้นอย่าโทษผู้อื่นเพราะมันเป็นความผิดของตัวเอง การนับถือศาสนาไม่จำเป็นต้องยึดถือตามบรรพบุรุษ เพราะบุคคลเหล่านี้ไม่สามารถช่วยเราได้ในโลกอาคิเราะฮฺ
พึงทราบ ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาเดียวที่มาจากอัลลอฮฺ ประทานมาผ่านทางศาสนทูตมุฮัมมัด เป็นศาสนาที่สมบูรณ์ ครบถ้วนทั้งโลกมี้และโลกหน้ามีบทบัญญัติที่เป็นเอกเทศ และเป็นเอกลักษณ์จากอัลลอฮฺ สั่งสอนแต่ความดีและห้ามปรามความชั่ว
จุดประสงค์ของศาสนาอิสลาม
1. เชิญชวนมวลมนุษย์ เพื่อศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และศาสนฑูตของพระองค์อีกทั้งไม่ภักดีนอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น
2. เพื่อให้ได้รับความโปรดปราน และความสงบสุขแก่เหล่าสรรสิ่งทั้งปวง
3. เพื่อนำมวลมนุษย์ออกจากความมืดมนแห่งความหลงผิด ไปสู่แสงสว่างของสัจธรรมแห่งอิสลาม
4. เพื่อสร้างความยุติธรรมในชีวิตมนุษย์ทุกระดับ และลบล้างความอยุติธรรมและความโหดร้ายทั้งปวง
5. เพื่อนำมวลมนุษย์ออกจากการเป็นทาสรับใช้มนุษย์ด้วยกัน ไปสู่การเป็นป่าวที่ดีของอัลลอฮฺ
6. เพื่อแจ้งให้มวลมนุษย์ทราบว่า โลกและทุกสรรพสิ่งนี้ อัลลอฮฺเป็นผู้สร้าง พระองค์เป็นผู้ทรงคุ้มครอง และทรงอำนาจยิ่ง ทุกสรรพสิ่งต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของพระองค์
7. เพื่อประกาศให้ทราบว่า มนุษย์เรามาจากอัลลอฮฺ จะกลับสู่อัลลอฮฺ และต้องรับผลตอบแทนจากพระองค์ทั้งนรกหรือสวรรค์ การมีการอยู่ของมนุษย์บนโลกนี้ มีจุดประสงค์เพื่อการภักดีและปฏิบัติตามคำสอนของอัลลอฮฺ มิใช่อยู่เพื่อกิน ดื่ม หรือสนองอารมณ์ตัณหาเท่านั้น แต่ต้องรับผิดชอบในวันอาคิเราะฮฺต่อทุกอิริยาบถที่ได้กระทำไว้บนโลกนี้ และรับผลตอบแทนจากการตัดสินของอัลลอฮฺที่ยุติธรรมยิ่ง
8. หลักการยึดมั่นของศาสนาอิสลามถือว่าท่านอีซา ( พระเยซู ) เป็นศาสนฑูตของอัลลอฮฺท่านมิใช่พระเจ้า มิใช่พระราชโอรสของพระองค์ ไม่สามารถทำให้คนตายฟื้นคืนชีพด้วยตนเอง ไม่สามารถชำระล้างบาป และอิสลามยังถือว่าผู้ใดศรัทธาเช่นนั้น มีความผิดมหันต์ และย่อมได้รับโทษจากขุมนรกตลอดกาล
9. หลักการยึดมั่นของอิสลามถือว่า การฆ่าตัวตายเป็นมหันต์บาปอย่างหนึ่ง และย่อมได้รับโทษในนรกชั่วกาลนาน
ลองคิดดู
ใคร่ครวญ
พิจารณาเลือก
และกำหนดจุดยืน
เพื่อความสุขในโลกนี้
และพ้นจากไฟนรกในโลกหน้า