“อามุลฟีล” ปีช้าง
عام الفيل
เมื่อสิบสี่ศตวรรษที่ผ่านมาแล้ว ได้มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ณ คาบสมุทรอาหรับ เหตุการณ์นี้สร้างความอัศจรรย์ใจให้กับผู้รู้เห็น เป็นเหตุการณ์ที่ประกาศให้โลกได้รับรู้ถึงการถือกำเนิดของท่านนบีมุฮัมหมัด บุตรของอับดิลลาห์ ขณะนั้นอับรอฮะห์เป็นกษัตริย์ มีอำนาจปกครองเมืองเยเมน เดิมทีกษัตริย์ท่านนี้เป็นชาวฮะบะชะห์ (เอธิโอเปียปัจจุบัน) โดยกำเนิด เขาเป็นคนที่มีรูปร่างใหญ่โต ผิวดำ มีรอยบากที่หน้าตั้งแต่หน้าผากถึงใต้คาง บาดแผลนี้เกิดขึ้นในขณะทำสงคราม กล่าวคือ เมื่อชาวฮะบะชะห์เข้ามายึดครองเมืองเยเมน เกิดการแย่งอำนาจกันขึ้นระหว่างแม่ทัพกับอับรอฮะห์ ทั้งสองคนปะทะกัน อับรอฮะห์ถูกฟันที่หน้า ส่วนแม่ทัพถูกสังหาร จึงเหลือแต่อับรอฮะห์เป็นผู้กุมอำนาจเพียงผู้เดียว
ฝ่ายเจ้าเมือง ฮะบะชะห์ เมื่อรู้ข่าวว่าแม่ทัพถูกฆ่าตายด้วยมือของอับรอฮะห์ผู้เป็นทาสก็โกรธมาก เขาสาบานว่า จะต้องบุกเข้าเยเมน ถลกหนังหัวอับรอฮะห์ให้ยอมจำนนต่อรัฐบาลฮะบะชะห์ให้ได้ และจะต้องนำเขามาลงโทษในฐานะผู้หักหลัง
แต่อับรอฮะห์นั้นนอกจากจะเป็นผู้ที่โหดเหี้ยมแล้ว ยังมากไปด้วยเล่ห์ เขาจึงคิดหาลู่ทางว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองรอดพ้นจากการอาฆาตของกษัตริย์แห่งฮะบะชะห์ เขาได้นำเอาดินจากเมืองเยเมนใส่กระสอบ ตัดเส้นผมของเขาใส่ลงไว้ด้วย แล้วส่งไปกษัตริย์แห่งฮะบะชะห์ พร้อมกับสาส์นหนึงฉบับมีข้อความว่า :
“ข้าแต่มหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ความจริงข้าพเจ้าไม่ได้กระทำการอันเป็นที่ระคายคายเคืองอำนาจของพระองค์แต่อย่างใด ที่ข้าพเจ้าต้องสังหารแม่ทัพนั้นเพราะว่าแม่ทัพต้องการจะขึ้นครองอำนาจในเยเมน และเป็นกบฏต่อรัฐบาลฮะบะชะห์ และเพื่อข้าพเจ้าจะได้รักษาเลือดเนื้อของพี่น้องชาวฮะบะชะห์ไว้ จึงต้องเข้าจัดการสังหารแม่ทัพด้วยตัวข้าพเจ้าเอง และพร้อมกับสาสน์ฉบับนี้ ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ตัวของข้าพเจ้าและผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของข้าพเจ้านั้น ต่างก็อยู่ภายใต้อำนาจรัฐของพระองค์ทุกประการ และเพื่อรับประกันคำพูดที่ให้ไว้ ข้าพเจ้าได้ส่งเส้นผมของตัวข้าพเจ้า และดินจากเมืองเยเมนมาไว้ใต้แทบพระบาทของพระองค์ ข้าพเจ้าสัญญาว่า จะเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ ยอมอยู่ใต้อำนาจของพระองค์และจะให้การสนับสนุนพระองค์ตลอดไป”
กษัตริย์แห่ง ฮะบะชะห์รู้สึกประทับใจเมื่อได้อ่านสาส์นของอับรอฮะห์ เขาจึงเลิกล้มที่จะจัดการกับอับรอฮะห์ ปล่อยให้อับรอฮะห์เป็นตัวแทนปกครองเมืองเยเมนภายใต้อำนาจของฮะบะชะห์ต่อไปอีก
อับรอฮะห์นั้นนับถือศาสนาคริสต์ ที่เขามาบุกเยเมน พร้อมกับกองกำลังของเมืองฮะบะชะห์ ก็เนื่องจากได้รับความช่วยเหลือจากพวกคริสต์ชาวนัจญ์รอน และคริสต์ชาวญีซาน เพื่อพวกเขาจะได้หลุดพ้นจากการข่มเหงของพวกมุชริก เมื่ออับรอฮะห์ได้ขึ้นครองอำนาจได้ช่วยเหลือคริสต์แล้ว เขาก็สร้างโบสถ์ขึ้นหลังหนึ่ง ขนาดใหญ่โตมาก ชนิดที่ไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อนในยุคนั้น
เขาบังคับขู่เข็ญชาวเมืองให้มาช่วยกันก่อสร้าง ใครมาล่าช้า หลังดวงอาทิตย์ขึ้น ผู้นั้นจะถูกตัดมือทันที อัญมณี หินอ่อน และสิ่งของมีค่า ถูกขนย้ายมาจากพระราชวังบัลกอย์ส เอามาประดับประดาโบสถ์หลังนี้อย่างวิจิตรพิสดาร
เป้าหมายของอับรอฮะห์ก็เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงค่านิยมของชาวเยเมน ที่พวกเขาจะเดินทางไปยังมักกะห์ ในช่วงเทศกาล จะนำเอาสัตว์พลีไปเชือดถวายรูปเคารพ เพื่อเป็นการสักการะและเป็นการให้เกียรติแก่กะอฺบะห์ เขาไม่ต้องการแนะนำพวกเหล่านั้นไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง หรือเปลี่ยนจากการเคารพสักการะรูปเคารพต่างๆ เขาเพียงแต่ต้องการรวมประชาชนไว้ให้เป็นผู้ที่สวามิภักดิ์ต่อการปกครองของเขาเท่านั้น
แต่อาหรับชาวเยเมนก็ไม่ให้ความสนใจโบสถ์ที่อับรอฮะห์สร้างขึ้นแต่อย่างใด ไม่กลัวแม้ว่าจะถูกคาดโทษ ถูกขู่เข็ญ พวกเขายังคงมีความคิดติดแน่นอยู่กับความเชื่อเดิม พวกเขาต้องการไปถวายความจงรักภักดีแก่กะอฺบะห์ และบรรดารูปเคารพที่อยู่รอบๆนั้นเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เมื่อถึงฤดูเทศกาล ชาวเยเมนจะจัดขบวนใหญ่โตพร้อมด้วยเครื่องสังเวย มุ่งหน้าเข้ามักกะห์ด้วยความปิติยินดี
อับรอฮะห์แค้นใจ และโกรธเป็นยิ่งนักต่อสิ่งที่เห็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจเด็ดเดี่ยว และสาบานว่าจะต้องบุกเข้าไปมักกะห์ พร้อมกับกองทัพมหึมาเพื่อทำลายกะอฺบะห์ให้ราบเรียบ ไม่ให้เหลือร่องรอยใดๆไว้ เป็นการตัดขาดความผูกพัน ขจัดรากเหง้าแห่งญาฮิลียะห์ออกจากชีวิตจิตใจของชาวอาหรับให้ได้ แล้วในที่สุดทุกคนก็จะต้องหันกลับมาหาโบสถ์ที่เขาสร้างขึ้นอย่างแน่นอน
อับรอฮะห์จัดเตรียมกองทัพ เขานำเอาฝูงช้างที่คึกคะนองเป็นแนวหน้า เพื่อข่มขู่ให้ม้าและอูฐเผ่นหนี และชาวอาหรับเมื่อเห็นกองทัพช้างก็จะตื่นตระหนก และงวงช้างยังสามารถทำลายกำแพงกะอฺบะห์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย การเตรียมการรบครั้งนี้ต้องใช้เวลาไม่น้อย เขาจะต้องเตรียมเสบียง อาวุธ และจัดกองทัพ จนเสร็จสิ้นสมบูรณ์
และแล้วกองทัพมหึมาก็เคลื่อนพลออกจากเยเมน เหมือนสายน้ำหลากพุ่งออกไปเบื้องหน้า พื้นดินมีเสียงอึกทึกเนื่องจากการกระทบกระแทกของเกือกม้า ในอากาศเต็มไปด้วยฝุ่นตลบ เสียงม้าร้องกังวานเป็นระลอกเหมือนเกลียวคลื่นที่ซัดสาดเป็นระยะๆ เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
อับรอฮะห์อยู่ในชุดออกศึกนั่งลงบนหลังม้าสวมเสื้อเกราะและหมวกเหล็ก ส่องแสงสะท้อนกับดวงอาทิตย์เป็นประกายวาววับ สองตาจรดมองออกไปเบื้องหน้าต้องการที่จะเห็นความพินาศของกะอฺบะห์ ภายในใจเก็บเอาความเคียดแค้นไว้เต็มอก
ทั้งๆที่ชื่อเสียงของอับรอฮะห์เป็นที่เกรงขาม มีอำนาจล้นฟ้า มีทหารเป็นจำนวนมาก และมีอาวุธครบมือ พร้อมสำหรับการต่อสู่ไม่ว่าจะเป็นกับใครที่ไหน แต่ในหัวใจของผู้นำชาวเยเมนบางคนที่เป็นคนท้องถิ่น เป็นชาวเยเมนโดยกำเนิด ยังอัดแน่นด้วยความเกลียดชังอับรอฮะห์ผู้รุกราน จึงทำให้ผู้นำคนหนึ่งชื่อ “ซูนะฟัร” ประกาศสงครามปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของชาวเยเมน และเพื่อพิทักษ์ก๊ะอฺบะห์เอาไว้ พวกเขาคิดว่า การเสียสละเพื่อสิ่งดังกล่าว ถึงแม้ว่าจะต้องเดิมพันด้วยชีวิตก็ยอม ปรากฏว่าในการประกาศศึกกับอับรอฮะห์มีผู้มาร่วมเป็นจำนวนมาก ประกอบด้วยผู้คนในหมู่คณะของเขา และผู้คนจากหมู่คณะอื่นก็เข้าร่วมด้วย
ณ ชายแดนเยเมน ก่อนที่ทหารของอับรอฮะห์จะข้ามทะลุเข้าไปสู่ดินแดนติฮามะห์ และฮิญาซในคาบสมุทรอาหรับ กองกำลังของทั้งสองฝ่ายก็เข้าปะทะกันอย่างดุเดือด ในที่สุดทหารของซูนะฟัรก็พ่ายแพ้อย่างหมดทางสู้ แตกหนีไม่เป็นขบวน ตัวของซูนะฟัรถูกจับเป็นเชลย เมื่ออับรอฮะห์คิดจะฆ่าเขา เขาก็กล่าวคำขอให้ไว้ชีวิตอย่างน่าเวทนาสงสาร เขากล่าวว่า :
“ข้าแต่ท่านผู้เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด ถึงอย่างไรข้าก็ยังมีประโยชน์สำหรับกองทัพของท่านในการเป็นผู้นำที่ดี"
อับรอฮะห์ไว้ชีวิตเขา เขาถูกจับมัด แล้วถูกนำตัวไปมักกะห์พร้อมกับกองทัพ
เมื่อกองทัพของอับรอฮะห์เข้าสู้เขตของเผ่า ค๊อษอัม ก็ต้องเผชิญกับกองกำลังของนุฟัยลฺ อิบนิ ฮะบี๊บ เขาได้นำกองกำลังเข้าต่อสู้กับกองกำลังของอับรอฮะห์ หมายมั่นว่าจะได้รับชัยชนะ แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถสกัดกั้นกองทัพของอับรอฮะห์ไว้ได้อย่างที่คิด ทหารของนุฟัยลฺเผ่นหนี ตัวของนุฟัยลฺถูกจับเป็นเชลย ขณะที่อับรอฮะห์จะฟันดาบลงบนต้นคอของเขา เขาถึงกับมีใบหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจกลัวสุดขีด และเขาก็ร้องขอให้ไว้ชีวิต และสัญญาว่าจะขอรับใช้ด้วยความจริงใจ ยอมเป็นผู้นำทางให้กองทัพอับรอฮะห์ ให้สามารถเดินทางไปในท้องทะเลทรายอย่างสะดวก เพราะพื้นที่เป็นเส้นทางที่มีเหวลึก หุบเขา เนินทราย ยากแก่การเดินทางหากขาดผู้เชี่ยวชาญภูมิประเทศแถบนั้น อับรอฮะห์จึงไว้ชีวิตเขา เพื่อเป็นประโยชน์แก่กองทัพ
ทหารของอับรอฮะห์เดินรุกคืบหน้าต่อไป มุ่งสู่ดินแดนมักกะห์ด้วยความคึกคะนอง ส่งเสียงอึกทึก กึกก้อง สะท้านแผ่นดิน จนกระทั่งถึงถิ่นที่อยู่ของเผ่า ษะกี๊ฟ ใกล้จะเข้าสู่ตัวเมืองฏออิฟ เป็นที่ทราบกันดีว่า ดินแดนแถบนั้นเหมาะสำหรับปลูกพืชไร่ เพราะมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านเมื่อรู้ข่าวว่ากองทัพของอับรอฮะห์จะผ่านเข้ามา จึงเตรียมต้อนรับ เพื่อไม่ให้พวกเขาทำลายพืชไร่ให้ได้รับความเสียหาย พยายามใช้การเจรจาให้เป็นประโยชน์ เพราะพวกเขารู้ดีว่า กองทัพมุ่งจะไปทำลายกะอฺบะห์
มัสอู๊ด อิบนิ มุตอับ ผู้นำชาวฏออีฟ ได้ออกมาต้อนรับกองทัพของอับรอฮะห์ด้วยความนอบน้อม เขากล่าวว่า :
โอ้จอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ พวกเราเป็นทาสของท่าน ยอมรับฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของท่านเสมอ พวกเราไม่มีใครคิดจะต่อต้านท่านเลย และหมู่บ้านของเรา ที่มีรูปเคารพ “อัลลาต” อยู่ด้วยนี้ ก็ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของพวกท่าน เพราะจุดประสงค์ของพวกท่านต้องการที่จะไปทำลายกะอฺบะห์ ดังนั้น เราจะให้คนหนึ่งที่เป็นผู้ชำนาญเส้นทาง นำพากองทัพของท่านไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้
มัสอู๊ด อิบนิ มุตอับ จึงเลือกชายผู้หนึ่งชื่อ “อบูริฆอล” ให้เป็นผู้นำทางกองทัพของอับรอฮะห์ก็ผ่านพ้นไป
โปรดติดตามตอนต่อไป
Click >>>>“อามุลฟีล” ปีช้าง 2