ท่านอิกริมะห์ อิบนิ อะบีญะฮฺล 2
ในระหว่างทาง อิกริมะห์ รู้สึกมั่นใจว่า ท่านนบีจะต้องให้อภัยแก่ตนดังที่ภรรยาของตนได้บอกกล่าวเอาไว้ แต่อีกใจหนึ่งเห็นว่าตนเคยเป็นศัตรูกับท่านนบีมาก่อน และตนเองนั้นเคยฆ่าฟันผู้ศรัทธา มาเป็นจำนวนมากต่อมาก แล้วท่านนบีจะให้อภัยกับตนละหรือ?
แต่ในขณะที่เขาก้าวเท้าไปพบท่านนบีนั้น ก็ได้ยินเสียงของท่านนบีกล่าวต้อนรับขึ้นว่า :
ขอต้อนรับผู้ที่กำลังอพยพมา
อิกริมะห์ได้ให้คำมั่นสัญญากับท่านร่อซูล ว่า :
โอ้ท่านร่อซูลของอัลเลาะห์ แท้จริงฉันขอยืนยันต่อท่านและบรรดาผู้ที่ร่วมอยู่กับท่านด้วยว่า ฉันให้คำมั่นสัญญาต่ออัลเลาะห์ว่า เงินทองค่าใช้จ่ายใดๆที่ฉันเคยใช้ไปมากมายเท่าใดในสมัย ญาฮิลียะห์ ในการต่อต้านศาสนาของอัลเลาะห์นั้น ต่อไปนี้ฉันจะทุ่มเทกำลังความสามารถ และทรัพย์สินเงินทองไปในหนทางของอัลเลาะห์ ยิ่งเสียกว่า ที่ได้เคยเป็นมาแล้วเสียอีก
หลังจากที่อิกริมะห์เข้ารับอิสลาม เขาเป็นผู้ที่มีอีหม่านศรัทธาอย่างจริงใจ จนได้รับความไว้วางใจจาก ท่านนบีให้เป็นผู้รวบรวมซะกาตของตระกูลฮะวาซิน แสดงให้เห็นว่า ท่านนบีไว้ใจต่ออิกริมะห์มากเพียงใด
และหลังจากนั้นไม่นานท่านนบีก็สิ้นชีวิต และเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นในระหว่างมุสลิม ดังที่เป็นที่ทราบกัน
กล่าวคือ บางกลุ่มก็กลับไปสู่สภาพเดิมด้วยการเป็นมุรตัด บางกลุ่มก็ไม่ยอมจ่ายซะกาต และในขณะนั้นเองที่เปอร์เซีย และโรม ก็ต้องการกำจัดมุสลิมให้สิ้นไปจากโลกนี้ ด้วยเหตุนี้ ท่านคอลีฟะห์อบูบักรฺ อัศศิกดิ๊กจึงได้คัดเลือกผู้ที่มีความสามารถ ให้ทำหน้าที่เป็นแม่ทัพ เพื่อต่อต้านศัตรูของอิสลาม และบุคคลผู้นั้นจะต้องมีลักษณะดังที่ อัลเลาะห์ ตรัสไว้ว่า :
จะต้องเป็นผู้ที่เชื่อมั่นในสิ่งที่อัลเลาะห์ได้ทรงสัญญาไว้แก่เขา และผู้นั้นจะปฎิบัติตามความจริงที่ได้ ให้สัญญาไว้กับอัลเละห์
และอิกริมะห์ก็เป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้ที่มีคุณลักษณะดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ ท่านอบูบักรฺ จึงแต่งตั้งให้ อิกริมะห์เป็นแม่ทัพยกไปปราบพวกที่ตกเป็นมุรตัด สิ้นสภาพการเป็นมุสลิมที่อยู่ในโอมาน ยะมัน และฮัฏรอลเม้าตฺ ฯลฯ จนเป็นผลสำเร็จ โดยให้พวกเขาเหล่านั้นกลับมาเป็นมุสลิมดังเดิม
ภายหลังที่ท่านอิกริมะห์เดินทางกลับมายังมะดีนะห์ก็ได้พบว่า มีการเตรียมกองทัพไว้พร้อมแล้ว ท่านอบูบักรฺบอกแก่อิกริมะห์ว่า จะต้องเผชิญกับศึกใหญ่ และยังถามอีกว่า :
ท่านต้องการกองกำลัง เพิ่มอีกหรือไม่
อิกริมะห์ตอบว่า :
ไม่ต้อง เพราะกองกำลังที่มีอยู่นั้นเพียงพอแล้วในการที่จะเผชิญ กับกองกำลังอันมหาศาลของฝ่ายศัตรู
ขณะที่อิกริมะห์เคลื่อนทัพออกไปจะรบกับพวกโรมันอยู่นั้น กองกำลังของมุสลิมที่ยกไปล่วงหน้าก็ได้ ประจัญบานกับศัตรู และถูกตีถอยออกมาไม่เป็นขบวน พอดีที่กองทัพของอิกริมะห์ไปถึงจึงได้ออกสกัด บรรดาข้าศึกศัตรูเอาไว้ได้
ในการทำสงครามกับโรมัน ซึ่งเรียกว่าสงครามยัรมู๊ก หลังจากที่ท่านนบีวะฟาตไปแล้วนั้น มุสลิม มีกำลังประมาณสี่หมื่นคน แต่ฝ่ายโรมันมีมากกว่ามุสลิมถึงห้าเท่า นอกจากนั้นพวกนั้นยังได้เปรียบ มุสลิมทางด้านอาวุธอันมากมายอีกด้วย
ในการรบครั้งนี้ ท่านคอลิด อิบนิลวะลีด ผู้เป็นแม่ทัพเห็นว่า แม้มุสลิมจะด้อยกว่าทั้งทางด้านกำลังคน และอาวุธก็ตามแต่ด้วยพลังความอีหม่านเท่านั้นที่ทำให้มุสลิมเข้มแข็งกว่าฝ่ายข้าศึก
ท่านคอลิด อิบนิลวะลีด ผู้เป็นแม่ทัพจึงได้เห็นชัดว่า บุรุษเหล็กที่ใจเกร่งกล้านั้นมีอยู่สองคนด้วยกัน คือ ท่านอิกริมะห์ และท่านก็อฺก็ออฺ บิน อัมรฺ อัตตะมีมียฺ ทั้งนี้ก็เพราะในการประจัญบานกับฝ่ายศัตรู ซึ่งหน้านั้น ทั้งสองคนนี้เองเป็นผู้จู่โจมเข้าใส่ศัตรูดุจสายฟ้าแลบ ทำให้ศัตรูซึ่งมีจำนวนมากกว่า แตกพ่ายไป
ในการทำสงครามครั้งนี้ ถ้ามุสลิมแพ้ ก็หมายความว่า อิสลามจะต้องหมดสิ้นไปด้วย ซึ่งมุสลิมจะยอม ไม่ได้เป็นอันขาด ขณะที่ท่านอิกริมะห์เห็นสภาพการณ์เช่นนั้นจึงตะโกนขึ้นว่า :
มีใครบ้างที่จะสละชีวิตเพื่อกอบกู้สถานการณ์ที่กำลังเพลี่ยงพล้ำอยู่นี้
มีคนประมาณ 400 คน ได้เสนอตัวขึ้นมา และได้ให้สัญญาแก่ท่านอิกริมะห์ว่า จะสละชีวิตเพื่อการนี้ และในจำนวนคน 400 คนนี้ ก็มีญาติของท่านอิกริมะห์ กล่าวคือมี ลุง อา และลูกชายของท่านอิกริมะห์ ร่วมอยู่ด้วยท่านอิกริมะห์ได้พูดปลุกใจบรรดาทหารมุสลิมว่า :
ฉันนี่แหละได้ต่อสู้กับท่านร่อซูลในทุกๆสมรภูมิในวิถีทางที่ผิด ซึ่งในขณะที่ฉันยังไม่ได้เป็นมุสลิม และในเมื่อเราต่อสู้ในวิถีทางของอัลเลาะห์ อันเป็นวิถีทางที่ถูกต้องแล้วเรายังจะออมแรงเอาไว้ อีกกระนั้นหรือ ?
อิกริมะห์ยังพูดอีกว่า :
ฉันเคยอุทิศชีวิตของฉันเพื่อป้องกันเจว็ต รูปปั้นอัลล้าต และอัลอุซซามาก่อนแล้ว แล้วฉันจะต้อง ตระหนี่ชีวิตของฉันเอาไว้ทำไมอีก ในเมื่อจะป้องกันศาสนาของอัลเลาะห์
การที่บุคคลอุทิศชีวิตเพื่อสู้รบในหนทางของอัลเลาะห์ และยอมตายเพื่อพระองค์นั้น คมหอกคมดาบ จากฝ่ายศัตรูที่เขาจะได้รับย่อมไม่ทำให้เขาประหวั่นพรั่นพรึงแต่อย่างใดเลย และด้วยพลังอีหม่านนี้เองที่ฝายข้าศึก(โรมัน) ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะประสบกับการต่อต้าน อย่างเหนียวแน่นเข้มแข็งจนในที่สุดพวกโรมันเองต้องพ่ายแพ้แตกกระเจิงไปอย่างไม่เป็นขบวน บาดเจ็บและถูกฆ่าฟันล้มตายลงเป็นจำนวนมาก
จากการสู้รบในครั้งนี้ทำให้อิสลามยืนอยู่อย่างแข็งแกร่งต่อไป แม้จะต้องสูญเสียบุคคลเช่นอิกริมะห์ไป ก็ตามแต่ก็เป็นไปตามความปรารถณาของท่านที่จะเป็นชะฮีด เพื่อให้อิสลามยังคงอยู่ พร้อมกันนั้น อา ลูก และลุงของท่านอิกริมะห์ก็เป็นชะฮีดในการรบครั้งนี้ด้วย เมื่อท่านอิกริมะห์จะสิ้นใจ ท่านคอลิด อิบนิลวะลีด ผู้เป็นแม่ทัพได้ยกศรีษะ ของท่านอิกริมะห์มาพาดไว้ ที่ขา เอาลูกชายของอิกริมะฮฺมาพาดไว้ที่หน้าแข้ง และหยอดน้ำให้ทั้งสองคนจนกระทั่งชีวิตออกจากร่างไป
นี่เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจลืมได้ สงครามยัรมู๊ก เป็นสงครามที่ชี้ชะตากรรมว่า มุสลิมจะอยู่หรือจะไป การที่ท่านอิกริมะฮห์แสดงการอีหม่านอันชัดแจ้งออกมา จึงสามารถกอบกู้สถานการณ์ไว้ได้อย่างทันท่วงที และทำให้แสงสว่างของอัลเลาะห์ตกทอดสืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้ว่าสมรภูมินี้เกิดขึ้นใน ฮ.ศ.ที่ 13 ในปลายสมัยของท่านคอลีฟะห์ อบูบักรฺก็ตาม แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้บันทึกเหตุการณ์ ดังกล่าวไว้ ผู้ที่เป็นมุสลิมยังคงกล่าวถึง และสดุดีวีรกรรมของท่านอิกริมะห์ และผู้ต่อสู้เพื่ออิสลาม อยู่เสมอมิได้ขาด
เราในฐานะมุสลิมและเป็นประชาชาติของ นบีมุฮัมมัด และเป็นผู้ปฎิบัติ ตามแนวทางของท่านร่อซูล หากเราคำนึงถึง มรดกที่ท่านร่อซูล และบรรดาศอฮาบะห์ทิ้งไว้ให้เรา ด้วยการศึกษา เรียนรู้ และใส่ใจต่อกันอย่างจริงจังแล้ว แน่นอนเหลือเกินเราจะต้องต่อสู้และป้องกันจนสุดความสามารถ ด้วยทุกวิถีทางเพื่อให้ศาสนาอิสลาม ของเราตกทอดมาถึงลูกหลานของเราสืบไป
หากเราไม่ศึกษา ไม่หาความรู้ ไม่ยอมยากลำบาก เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งอันทรงคุณค่ามหาศาลนี้แล้ว แน่นอนเราอาจจะไม่เห็นคุณค่า และความสำคัญของอิสลามและบางทีการเป็นมุสลิมก็อาจจะเป็นไปในทำนองที่ไม่มีชีวิตชีวาไม่มีความรู้สึกหวงแหน ไม่มีความภาคภูมิใจในการที่เราเป็นมุสลิม
ฉะนั้นผู้ที่อ้างตนว่าปฎิบัติตามแนวทางของท่านร่อซูล จึงสมควรจะแสดงตนว่าได้ศึกษาสิ่งที่บรรดา บรรพบุรุษผู้มีพระคุณได้อุทิศชีวิตเพื่อปกป้องให้เป็น มรดกสืบทอดต่อมาแก่ลูกหลานในอนาคตกาล ข้างหน้าแม้จะเพียงสักเล็กน้อยก็ตามมิใช่หรือ?
วัสลาม
Click<<< ท่านอิกริมะห์ อิบนิ อะบีญะฮฺล 1
จาก หนังสือประวัติซอฮาบะห์ 1
พิมพ์เผยแพร่โดย สายสัมพันธ์