ท่านมุอ๊าซ อิบนิ ญะบัล 1
ท่านมุอ๊าซได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามโดยการแนะนำของ ท่านมุศอับ อิบนุอุมัยรฺ ซึ่งเป็นนักเผยแพร่คนแรกที่ท่านรอซูล ส่งไปเผยแพร่ศาสนาอิสลามในนครมะดีนะห์ ก่อนที่ท่านรอซูลจะอพยพไปมะดีนะห์
ท่านมุอ๊าซมีโอกาสได้สัมผัสมือกับท่านรอซูล พร้อมกับผู้ที่มาทำสัตยาบันกับท่านรอซูลทั้ง 72 ท่าน ที่อัลอะกอบะห์ (อยู่ที่ชานเมืองมักกะห์) ภายหลังการทำสัตยาบันครั้งนี้แล้ว ท่านได้กลับไปมะดีนะห์ และได้จัดตั้งกลุ่มขึ้น อันประกอบไปด้วยเพื่อนๆของท่านอยู่ในวัยหนุ่ม เพื่อกระทำหน้าที่เชิญชวนผู้คนในนครมะดีนะห์ให้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม โดยเปิดเผยและโดยลับๆ
กลุ่มของท่านมุอ๊าซ ซึ่งมีอายุระหว่าง 10 ปีขึ้นไปสามารถทำหน้าที่เผยแพร่ให้บุคคลทั่วๆไปเข้ารับอิสลาม และก็ได้รับความสำเร็จอย่างงดงาม โดยเฉพาะได้ชักชวนให้ท่าน อัมรฺ บิน อัลญะมัวะฮฺ เข้ารับนับถืออิสลามได้
ท่านอัมรฺ เป็นหัวหน้าคนสำคัญคนหนึ่งจากตระกูลบะนีซะละมะห์ ท่านผู้นี้ได้ยึดรูปเจว็ดรูปหนึ่งเป็นพระเจ้า โดยที่เจว็ดรูปนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ที่มีค่า และเขาได้เคาระบูชารูปเจว็ดนั้นเช่นเดียวกับหัวหน้าคนสำคัญจากตระกูลอื่นๆ แต่การเคารพบูชารูปปั้นของเขานั้นเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ โดยที่เขาให้การเอาใจใส่ดูแลรูปปั้นนั้นเป็นอย่างดี โดยเอาผ้าไหมมาสวมให้กับรูปปั้นนั้น และทุกเช้าเขาจะประพรมน้ำหอมให้แก่รูปปั้นนั้นด้วย
คืนวันหนึ่งท่านมุอ๊าซกับเพื่อนของท่าน ซึ่งส่วนมากมาจากตระกูลบะนี ซะละมะห์ พวกเขาได้แอบเข้าไปเอารูปปั้นที่ท่านอัมรฺ ใช้เป็นที่เคารพบูชา แล้วเอารูปปั้นนั้นไปทิ้งบ่อใส่ขยะหลังบ้าน เช้ารุ่งขึ้น ท่านอัมรฺตื่น เพื่อไปแสดงความคารวะรูปปั้นดังเช่นเคย แต่ปรากฏว่ารูปปั้นนั้นหายไป ท่านจึงเดินไปรอบๆบ้าน และพบว่ามันถูกทิ้งอยู่จมอยู่ที่บ่อขยะ ท่านจึงตะโกนขึ้นด้วยความโกรธแค้นว่า “ขอให้ความพินาศจงประสบแก่ผู้ที่ทำร้ายพระเจ้าของเรา เมื่อคืนนี้ด้วยเถิด” แล้วท่านก็ได้ยกรูปปั้นออกจากกองขยะ เอามาล้างน้ำและเช็ดให้สะอาด เอาผ้าพัน และใส่เครื่องหอมและเอาไปวางไว้ ณ ที่เดิม หลังจากนั้นท่านก็ได้ยืนขึ้นเบื้องหน้ารูปปั้นนั้นและกล่าวว่า “โอ้มะนาห์ (ชื่อรูปปั้นของเขา) ขอสาบานด้วยอัลเลาะห์ว่า หากว่าฉันรู้ว่าใครเป็นผู้ทำเช่นนั้นกับเจ้า ฉันจะทำให้เขาได้รับความอัปยศ”
คืนต่อมาหลังจากที่ท่านอัมรฺนอนแล้ว สมาชิดของท่านมุอ๊าซก็ได้รุดเข้าไปยังบ้านของท่านอัมรฺอีกครั้งหนึ่ง และได้กระทำกับรูปปั้นดังเช่นคืนก่อน และเช่นเดียวกันพอรุ่งเช้าท่านอัมรฺได้ไปพบรูปปั้นถูกทิ้งอยู่ในกองขยะหลังบ้าน เหตุการณ์เป็นดังเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งครั้งสุดท้าย ท่านอัมรฺเอาดาบไปแขวนไว้ที่คอรูปปั้น และกล่าวกับรูปปั้นว่า “ฉันไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำกับเจ้า ถ้าเจ้ามีความดีอยู่ในตัวของเจ้า ก็จงใช้ดาบนี้เพื่อป้องกันผู้ที่มาทำร้ายเจ้าด้วยเถิด”
และในคืนนั้น ท่านมุอ๊าซกับเพื่อนๆก็ได้ย่องเข้าไปในบ้านของอัมรฺอีก และตรงไปยังรูปปั้น พวกเขามองเห็น ดาบที่แขวนอยู่ที่คอรูปปั้นนั้น จึงเอาดาบออกจากคอ และเอาสุนัขที่ตายแล้วผูกกับเชือกแล้วนำไปแขวนไว้ที่คอของรูปปั้นแทนที่ดาบ แล้วลากไปทิ้งไว้ที่กองขยะดังเดิม
เมื่ออัมรฺตื่นขึ้นมาและพบว่า รูปปั้นนอนคว่ำหน้าอยู่ที่กองขยะ และที่คอรูปปั้นมีสุนัขตายแขวนอยู่ ท่านอัมร์จึงพูดกับรูปปั้นว่า “หากว่าเจ้าเป็นพระเจ้าจริง คงจะไม่มีสภาพดังเช่นที่เป็นอยู่นี้เป็นแน่!”
หลังจากที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่นานนัก ท่านอัมรฺได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม
เมื่อท่านรอซูลมาถึงมะดีนะห์ ในฐานะเป็นผู้อพยพ ท่านมุอ๊าซได้มาหาท่านรอซูลเป็นประจำ เพื่อเรียนอัลกุรอานและบัญญัติศาสนาอิสลามกับท่านรอซูล และด้วยระยะเวลาไม่นานนัก ท่านก็ได้เรียนรู้วิชาอย่างแตกฉานมากมาย และเป็นผู้หนึ่งที่ท่องจำอัลกุรอานได้เป็นอย่างดี
เมื่อตัวแทนของกษัตริย์ยะมัน ได้มาหาท่านรอซูลและบอกข่าวดีให้ท่านรอซูลทราบว่า “ชาวยะมันได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามแล้ว และต้องการให้ท่านรอซูลส่งผู้มีความรู้ไปอบรมสั่งสอนพวกเขาเหล่านั้น” ท่านรอซูลได้จัดส่งผู้ทำหน้าที่ดังกล่าวหลายท่านไปยะมัน และแต่งตั้งให้ท่านมุอ๊าซเป็นหัวหน้าคณะ
ขณะที่คณะของมุอ๊าซ จะออกจากเมืองไปจากเมืองมะดีนะห์ ท่านรอซูลได้เดินออกไปส่งถึงชานเมือง โดยที่ท่านรอซูลเดินด้วยเท้า และท่านมุอ๊าซขี่พาหนะ ท่านมุอ๊าซต้องการจะลงจากหลังพาหนะเพื่อให้ท่านรอซูลขึ้นขี่แทนที่ แต่ท่านรอซูลไม่ยอม และท่านยังได้สังเสียแก่ท่านมุอ๊าซว่า
“โอ้มุอ๊าซ ท่านอาจจะไม่ได้พบฉันอีก หลังจากปีนี้ และท่านอาจจะต้องมาเดินผ่านมัสยิดและกุบูรของฉัน
โอ้มุอ๊าซ ที่จริง ผู้ที่เป็นมิตรกับฉัน หรือผู้ที่ใกล้ชิดกับฉันนั้น คือบรรดาผู้ศรัทธา ไม่ว่าเขาจะอยู่ ณ ที่แห่งใด หรือจะมีสภาพเช่นใดก็ตาม”
ท่านมุอ๊าซร้องไห้อย่างมากมาย เมื่อคิดว่าจะต้องจากท่านรอซูลไป แต่เมื่อได้ยินคำพูดของท่านรอซูล ท่านก็หยุดร้องไห้ และมีความมั่นใจว่า โอวาทที่ท่านรอซูลกล่าวนั้นเป็นพลังให้ท่านทำหน้าที่ต่อไป แม้ว่าท่านจะต้องอยู่ห่างไกลจากท่านรอซูลก็ตาม
และก็เป็นความจริงเช่นนั้น เพราะท่านมุอ๊าซไม่มีโอกาสได้พบกับท่านรอซูลุลลอฮ์อีกหลังจากนั้น เพราะท่านรอซูลุลลอฮ์ ได้กลับไปหาอัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ก่อนที่ท่านมุอ๊าซจะกลับมาจากยะมัน
เมื่อเรากล่าวถึงท่านมุอ๊าซ เราคงจำได้ว่า นอกจากท่านจะเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากท่านรอซูลุลลอฮ์ โดยการมอบหมายตำแหน่งหน้าที่ และภารกิจต่างๆให้ท่านมุอ๊าซ เป็นผู้ทำแล้ว ท่านยังเป็นที่รักของท่านรอซูลอีกด้วย ดังที่ปรากฏในบันทึกฮะดีษของท่านอบู ดาวูด อิมามอะห์หหมัด อันนะซาอีย์ อิบนุฮิบบาน และอัลฮากิม ซึ่งบันทึกไว้มีความว่า :
อะบูดับดิรเราะห์มาน อัลฮุบุลีย์ เล่าจากท่านอัศศุนาบิฮีย์ เล่าจากท่านมุอ๊าซ อิบนิญะบัล ว่า
“แท้จริง ท่านรอซูลลุลลอฮ์ ได้จับมือของท่านมุอ๊าซแล้วกล่าวว่า โอ้มุอ๊าซ ฉันขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า แท้จริงฉันรักท่าน”
ท่านนบีได้กล่าวต่อไปอีกว่า
“ฉันของสั่งเสียแก่ท่าน โอ้มุอ๊าซ...ท่านอย่าได้ละทิ้งเป็นอันขาด ในทุกๆหลังเวลาละหมาดที่จะกล่าวว่า : ข้าแต่อัลเลาะห์ โปรดช่วยเหลือข้าพระองค์ในการกล่าวรำลึกถึงพระองค์ และกล่าวขอบพระคุณพระองค์ และการประกอบอิบาดะห์ที่ดีงามต่อพระองค์ด้วย"
ท่านมุอ๊าซได้สั่งเสียดุอาอฺดังกล่าว แก่อัศศุนาบิฮีย์ และอัศศุนาบิฮีย์ก็ได้สั่งเสียดุอาอฺดังกล่าวแก่ อะบาอับดิรเราะห์มาน อีกต่อหนึ่งด้วย
โปรดติดตามตอนต่อไป
ท่านมุอ๊าซ อิบนิ ญะบัล 2 >>>Click