มุศอับ อิบนุ อุไมร
ตอนที่ 4
วันเวลาได้ผ่านไป ท่านเราะซูลและบรรดาสาวกได้อพยพเดินทางจากนครมักกะฮ์ไปยังนครอัลมะดีนะฮ์ ชาวกุเรชได้แสดงปฏิกิริยาออกมาด้วยความโกรธแค้น พวกเขาได้เตรียมแผนการร้ายเพื่อที่จะทำการขับไล่บ่าวที่ดีของอัลลอฮ์ อย่างต่อเนื่อง และแล้วสงครามบัดร์ ก็ได้เกิดขึ้น พวกกุเรชได้รับบทเรียนในสงครามครั้งนี้ ทำให้สูญเสียสติสัมปชัญญะ และได้ใช้ความพยายามเพื่อแก้แค้นจากความปราชัยของพวกเขาในสงครามครั้งนี้
หลังจากสงครามบัดร์ไม่นานนัก สงครามอุหุดก็ได้เกิดขึ้น บรรดามุสลิมได้จัดเตรียมความพร้อม ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ได้ออกมายืนท่ามกลางพวกเขา กวาดสายตาไปยังใบหน้าแห่งผู้ศรัทธาทั้งหลาย เพื่อที่จะคัดเลือกผู้ถือธงนำทัพออกสู่สมรภูมิ แล้วท่านก็ได้เลือกมุศอับแห่งความดี และเขาได้ก้าวขึ้นมานำธงเข้าสู่การประจัญบานกับฝ่ายศัตรู
สมรภูมิที่น่าสะพรึงกลัวได้เกิดขึ้นแล้ว การต่อสู้ระว่างสองฝ่ายได้เข้มข้น บรรดานักแม่นธนูได้ฝ่าฝืนคำสั่งของท่านเราะซูล โดยที่พวกที่อยู่บนยอดเขาหลังจากที่ได้มองเห็นพวกมุชริกีถอนกำลังไปในสภาพปราชัย แต่การรกระทำของพวกเขาเช่นนี้ช่างรวดเร็วอะไรเช่นนั้น คือชัยชนะของมุสลิมได้พลิกไปสู่ความปราชัย พวกนักรบของชาวกุเรชได้จู่โจมบรรดามุสลิมบนยอดภูเขาเพราะความประมาทและเลินล่อ เมื่อพวกมุชริกีนได้ให้บรรดามุสลิมอยู่ในสภาพสับสนและแตกกระเจิงเพราะความกลัว พวกเขาจึงเพ่งเล็งไปที่ท่านเราะซูลเพื่อสังหารท่าน
แต่มุศอับ อิบนุ อุไมร ตระหนักถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับท่านเราะซูลลุลลอฮ์ เขาจึงชูธงขึ้นสูงแล้วร้องตะโกนกล่าวตักบีรด้วยเสียงดังกึกก้อง และเข้าตะลุมบอนจู่โจมเพื่อเรียกร้องความสนใจจากพวกศัตรูมายังเขา เพื่อที่จะให้ท่านเราะซูลรอดพ้นอันตรายที่จะเกิดขึ้น มุศอับได้ตัดสินใจบุกทะลวงเข้าไปยังหมู่พวกมุชริกีนแต่เพียงคนเดียวเพื่อให้เกิดความสับสนและโกลาหลท่ามกลางฝ่ายศัตรู มือหนึ่งถือธงเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ อีกมือหนึ่งแกว่งดาบซ้ายขวาด้วยความมั่นใจในสภาพของการเป็นชะฮีด แต่เหล่าศัตรูได้รุมล้อมสังหารเขา โดยมีจุดประสงค์ที่จะข้ามศพของเขาไปหาท่านเราะซูล
ขอให้เรามาฟังผู้รู้เห็นเป็นพยานเล่าถึงเหตุการณ์ ที่ได้เกิดขึ้นในการจบชีวิตของมุศอับผู้ยิ่งใหญ่
อิบนุ ซะอด์ ได้กล่าวว่า อิบรอฮีม อิบนุ มุฮัมมัด อิบนุ ชะเราะห์บีล อัลอับดะรีย์ ได้รับคำบอกเล่าจากบิดาของเขาว่า
"ในวันสงครามอุหุด มุศอับ อิบนุ อุไมร ได้ถือธงนำหน้าส่วนทหารมุสลิมีนได้วิ่งกรูประจัญบานกับฝ่ายศัตรู แต่มุศอับยืนคอยดูแลอยู่ข้างหลังเพื่อให้กำลังใจพี่น้องของเขา อิบนุ กอมีอะฮ์ นักรบฝ่ายศัตรูได้ตรงรี่เข้าไปหาเขาแล้วเอาดาบฟันมือขวาขอมุศอับขาดลงและเขา (มุศอับ) ได้กล่าวขึ้นเสียงดังกึกก้องว่า มุฮัมมัด มิได้เป็นใครอื่น นอกจากเป็นเราะซูลคนหนึ่งเท่านั้น บรรดาเราะซูลก่อนหน้าจากเขาได้ล่วงลับไปแล้ว เขาได้เอามือซ้ายจับธงแล้วเอาเข้ามากอดไว้ ต่อมามือซ้ายของเขากถูกดาบฟันขาดลงอีก ในที่สุดเขาก็ได้โน้มเอียงเอาธงเข้ามากอดไว้ที่หน้าอกของเขาพลางกล่าวว่า มุฮัมมัด มิได้เป็นใครอื่น นอกจากเป็นเราะซูลคนหนึ่งเท่านั้น บรรดาเราะซูลก่อนหน้าจากเขาได้ล่วงลับไปแล้ว หลังจากนั้นศัตรูได้ใช้หอกแทงทะลุ และหอกได้หักคามือเขา มุศอับได้ล้มลงและธงก็ได้หลุดจากมือของเขา มุศอับหัวหน้าของบรรดาชะฮีดได้ล้มลงแล้วจากไปอย่างภาคภูมิ"
หลังจากได้ต่อสู้กับฝ่ายศัตรูอย่างทรหด และกล้าหาญในสมรภูมิแห่งการเสียสละและการศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ อันเนื่องมาจากความรักอย่างแรงกล้าของเขาที่มีต่อท่านเราะซูล และความกลัวของเขาที่มีต่อท่านว่าท่านจะได้รับอันตราย ขณะที่เขาถูกฟันจนแขนทั้งสองข้างหลุดออกไป เขาตะโกนขึ้นว่า "มุฮัมมัด มิได้เป็นใครอื่น นอกจากเป็นเราะซูลคนหนึ่งเท่านั้น บรรดาเราะซูลก่อนหน้าจากเขาได้ล่วงลับไปแล้ว" อายะฮ์นี้มีการกล่าวซ้ำและทบทวนทำให้สมบูรณ์อยู่ตลอดไป และเป็นอายะฮ์หนึ่งของอัลกุรอานที่จะถูกอ่านจนกระทั่งถึงวันกิยามะฮ์
หลังจากสมรภูมิที่บอบช้ำและเหนื่อยยากได้สิ้นสุดลง ศพของชะฮีด มุศอับ ถูกพบนอนอยู่อย่างสงบ ใบหน้าของเขามีฝุ่นดินคลุกอยู่กับเลือดอันบริสุทธิ์เสมือนกับเขาเกรงว่า เมื่อท่านเราะซูลลุลลอฮ์มาประสพพบเห็นเขาเข้า ท่านจะไม่สบายใจหรือโศกเศร้าเสียใจ เขาจึงพยายามปกปิดใบหน้าของเขา หรือเสมือนกับว่าเขาละอายแก่ใจ เมื่อเขาได้ตายไปก่อนที่เขาจะมีความมั่นใจต่อความปลอดภัยของท่านเราะซูลลุลลอฮ์ และก่อนที่เขาจะได้ทำหน้าที่ปกป้องท่านเราะซูลจนกระทั่งถึงที่สุด
ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ พร้อมด้วยบรรดาศ่อฮาบะฮ์ได้ไปตรวจสอบสมรภูมิ เพื่อกล่าวอำลาชะฮีดเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อมาถึงศพของมุศอับ อิบนุ อุไมร น้ำตาของท่านได้ไหลออกมา
ค๊อบบา อิบนิ อะร๊อต ได้กล่าวว่า
"พวกเราได้อพยพมาพร้อมกับท่านเราะซูลลุลลอฮ์เพื่อหนทางของอัลลอฮ์ โดยมุ่งหวังพระพักต์ของพระองค์ ดังนั้นผลตอบแทนของเราจึงอยู่ที่อัลลอฮ์ ส่วนหนึ่งของพวกเราได้เสียชีวิตไปแล้ว โดยที่ยังมิได้รับผลตอบแทนของเขาในโลกดุนยานี้แต่ประการใด อย่างเช่น มุศอับ อิบนุ อุไมร เขาถูกฆ่าในสงครามอุหุด ไม่มีอะไรที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาเพื่อทำกะฝั่นให้แก่เขา นอกจากผ้าคลุมผืนหนึ่งของเขา เมื่อเราเอามันมาปิดศรีษะของเขา เท้าของเขาก็จะโผล่ เมื่อเราเอามันมาปิดเท้าของเขา ศรีษะของเขาก็ปรากฏให้เห็น ท่านเราะซูลลุลลอฮ์จึงกล่าวแก่พวกเราว่า จงเอามันปิดส่วนหนึ่งที่ถัดจากศรีษะเขา แล้วจงเอาใบไม้ของต้นอัลอิซคิร (ต้นไม้ชนิดหนึ่งขึ้นในทะเลทราย) ปิดเท้าทั้งสองของเขา"
ถึงแม้ว่าความเจ็บปวดและความเศร้าโศกอย่างสุดขีด และความเศร้าหมองใจของท่านเราะซูลลุลลอฮ์ คือการสูญเสียอาของท่าน ฮัมซะฮ์ และการทำทารุณกรรมต่อศพของพวกมุชริกีน ทำให้ท่านต้องหลั่งน้ำตาออกมาและทำให้ท่านมีความรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก
ถึงแม้ว่าจากการพบเห็นพื้นที่สมรภูมิเต็มไปด้วยบรรดาศพของสาวกและสหายของท่าน ซึ่งแต่ละคนเปรียบดั่งผู้รู้ด้านสัจธรรม ความบริสุทธิ์และดวงประทีป
ถึงแม้ว่าจากทุกสิ่งดังกล่าวข้างต้น แต่กระนั้นท่านเราะซูลได้หยุดยืนต่อหน้าศพของนักเผยแผ่คนแรกของอิสลาม เพื่อกล่าวคำไว้อาลัยและแสดงความเสียใจของท่าน
แน่นอน ! ท่านเราะซูลได้ยืนนิ่งต่อหน้า มุศอับ อิบนุ อุไมร ท่านได้กล่าวคำไว้อาลัยขณะที่นัยน์ตาทั้งสองข้างเอ่อล้นด้วยน้ำตาเป็นประกาย แสดงถึงความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจ
"ในหมู่ผู้ศรัทธานั้น มีบุคคลผู้สัจจะต่อสิ่งที่พวกเขาได้สัญญาต่ออัลลอฮ์เอาไว้"(33/23)
หลังจากนั้นท่านได้มองด้วยความเศร้าสลดไปยังกะฝั่นที่ใช้คลุมศพของเขาและท่านได้กล่าวออกมาว่า
"แท้จริงฉันเคยเห็นท่านที่นครมักกะฮ์ สิ่งที่ท่านสวมใส่คือเสื้อผ้าที่บางนิ่ม และทรงผมที่ยาวสวยงามยิ่ง แต่ ณ ขณะนี้ท่านมีผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง อยู่ในผ้าคลุมที่สั้น" ท่านเราะซูลตะโกนพร้อมทั้งทอดสายตาไปยังสมรภูมิดินแดนที่มีสหายของมุศอับ และพลางกล่าวขึ้นว่า "แท้จริงเราะซูลลุลลอฮ์ ขอเป็นพยานว่า พวกท่านเป็นบรรดาชะฮีด ณ ที่อัลลอฮ์ ในวันกิยามะฮ์" และท่านได้หันหน้าไปยังบรรดาศ่อฮาบะฮ์ ที่มาร่วมเป็นพยานรอบๆตัวท่าน แล้วกล่าวว่า " ท่านทั้งหลายจงไปเยี่ยมพวกเขา จงไปหาพวกเขา และจงให้สลามแก่พวกเขา ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า จะไม่มีผู้ให้สลามคนใด ที่ให้สลามแก่พวกเขาจากนี้ไปจนกระทั่งวันกิยามะฮ์ เว้นแต่พวกเขาจะตอบรับสลามแก่ท่าน"
ขอความศานติจงมีแด่ท่าน โอ้ ! มุศอับ อิบนุ อุไมร
ขอความศานติจงมีแด่พวกท่าน โอ้ ! บรรดาชะฮีดทั้งหลาย
ขอความศานติ ความเมตตาจากอัลลอฮ์ และความจำเริญของพระองค์จงมีแด่พวกท่าน โอ้ ! ผู้ศรัทธาทั้งหลาย...
วัสลาม
Click<<< มุศอับ อิบนุ อุไมร 3