มุศอับ อิบนุ อุไมร
ตอนที่ 2
"คุนาส บินติ มาลิก" ซึ่งเป็นมารดาของ อิบนุ อุไมร เป็นผู้ที่มีบุคคลิกโดดเด่น น่าเกรงขาม และบางครั้งถึงขั้นน่ากลัว ขณะที่ "มุศอับ" ตัดสินใจเข้ารับนับถืออิสลามนั้น เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะกลัวผู้หนึ่งผู้ใดในหน้าแผ่นดินนี้ นอกจากมารดาของเขาเท่านั้น
ดังนั้นถึงแม้ว่าเมืองมักกะฮ์ทั้งหมดที่รวมบรรดาเจว็ดทั้งหลาย และบรรดาผู้นำทั้งหมด รวมทั้งทะเลทรายและขุนเขาทั้งหลายของมัน จะกลับกลายมาเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวเพื่อที่จะต่อต้านและขัดขวางเขา สำหรับ"มุศอับ" แล้ว เขาเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กไม่สำคัญ เพราะเขาได้ตัดสินใจแล้วที่จะมุ่งหน้าสู่สัจธรรม แต่การที่เขาจะมาเป็นคู่ปรปักษ์กับมารดาของเขานั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวซึ่งเขาไม่สามารถที่จะปฏิบัติได้ เขาได้ครุ่นคิดอย่างหนักและตกลงว่าจะปกปิดการเข้ามาเป็นมุสลิมของเขาจนกว่าอัลลอฮ์จะทรงจัดการให้บรรลุสู่เป้าหมาย
เขา"มุศอับ"ยังคงไปปรากฏตัวอยู่บ่อยๆ ที่บ้านอัลอัรกรอม และเข้าร่วมแสวงหาความรู้เพิ่มเติมจากท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ในสภาพของผู้ที่มีความดื่มด่ำด้วยการศรัทธา และด้วยการหลีกเลี่ยงความโกรธของมารดา ซึ่งนางไม่เคยทราบข่าวเลยถึงการเข้าอิสลามของเขา
แต่ทว่าเมืองมักกะฮ์ โดยเฉพาะในระยะเวลานั้น ความลับจะไม่ถูกปิดบังและซ่อนเร้น เพราะสายตาและการเงี่ยหูฟังของพวกกุเรชนั้นมีอยู่ทุกคนทุกหนแห่ง และเบื้องหลังของทุกๆรอยเท้าที่ปรากฏอยู่บนผืนทรายอันอ่อนนุ่มและร้อนระอุนั้น จะต้องมีนักสืบที่เฝ้าคอยสอดส่องหาข่าวอย่างใกล้ชิด
ครั้งหนึ่ง "อุสมาน อิบนิ ฏ็อลหะฮ์" ได้สังเกตเห็นมุศอับ ขณะที่เขาซ่อนตัวเข้าไปในบ้านอัลอัรกรอม แล้วได้เห็นเขาอีกครั้งหนึ่งขณะที่เขาร่วมละหมาดอยู่กับมุฮัมมัด ทันใดนั้นเองอุสมานได้วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปหามารดาของมุศอับ เพื่อแจ้งข่าวที่เป็นต้นเหตุให้นางเกิดอารมณ์ขุ่นเคืองต่อมุศอับ และมุศอับได้มาปรากฏตัวต่อหน้ามารดาของเขา ต่อหน้าญาติพี่น้องและบรรดาหัวหน้าชาวมักกะฮ์ ท้งหมดได้มารวมกลุ่มล้อมเขา โดยเขาอ่านอัลกุรอานให้พวกเขาฟังดัวยความมั่นใจและหนักแน่น อัลกุรอานซึ่งท่านเราะซูลได้ชำระล้างจิตใจด้วยวิชาความรู้และความมีเกรียติ และความยุติธรรม และความยำเกรง
มารดาของเขาต้องการที่จะตบหน้าเขาด้วยความโกรธแค้น แต่มือของนางที่ง้างขึ้นเพื่อที่จะตบหน้าเขาให้สาสม ก็ต้องอ่อนปลี้ยและหมดกำลังต่อหน้ารัศมีที่เจิดจ้าและภูมิฐานด้วยความสง่างามและยิ่งใหญ่สมควรแก่การให้เกรียติ และด้วยความเงียบสงบและความพอใจ
แต่มารดาของเขาภายใต้ความกดดันแห่งการเป็นมารดาของนาง อาจจะให้อภัยแก่เขาจากการตบตีและการทำอันตราย กระนั้นก็ดีนางสามารถที่จะล้างแค้นแทนพระจ้าของนางในรูปแบบอื่น ซึ่งมุศอับได้ผินหลังให้กับสิ่งเหล่านั้น
ดังนั้นนางจึงจับเขาไปขังในห้องหนึ่ง ณ มุมหนึ่งของบ้านและปิดห้องอย่างรัดกุมมั่นคงและเขาก็ถูกจองจำอยู่ในห้องขังภายในบ้าน ซึ่งมารดาของเขาได้จัดเตรียมไว้ จนกระทั่งในระยะเวลาต่อมา เมื่อเขาได้ทราบข่าวว่าบรรดาพี่น้องมุมินบางคนได้อพยพไปยังดินแดนหะบะชะฮ์(เอธิโอเปีย) เขาจึงวางแผนและกลวิธีเพื่อที่จะหนีออกจากบ้านในขณะที่มารดาของเขาเผลอจากการดูแลอารักขาเขา และเขาก็ประสบความสำเร็จด้วยการหนีออกจากบ้านและเดินทางอพยพไปยังอัลหะบะชะฮ์
เมื่อมุศอับเดินทางไปสมทบกับพี่น้องของเขา ณ เมืองอัลหะบะชะฮ์แล้ว เขาได้พำนักอยู่กับพี่น้องของเขาระยะหนึ่ง แล้วก็เดินทางกลับมาพร้อมๆกับพวกเขายังนครมะดีนะฮ์ ต่อมาท่านเราะซูลได้มีคำสั่งใช้ให้บรรดามุมินอพยพไปยัง อัลหะบะชะฮ์อีกเป็นครั้งที่สอง พวกเขาก็ปฏิบัติตาม
แต่ถึงแม้ว่ามุศอับ จะอยู่ ณ แห่งหนใด ไม่ว่าในเมือง อัลหะบะชะฮ์ หรือ นครมักกะฮ์ การทดสอบแห่งการศรัทธาของเขาได้ฝึกฝนให้เขาประสบความสำเร็จเหนือการทดสอบในทุกๆสถานที่และในทุกๆกาลเวลา เขาได้ประสบความสำเร็จในการปฏิรูปการหล่อหลอมชีวิตของเขาให้อยู่ในรูปแบบใหม่ซึ่ง มุฮัมมัด ได้มอบแบบอย่างที่ดีให้แก่พวกเขา มุศอับมีความอบอุ่นและมั่นใจเป็นอย่างมากว่า ชีวิตของเขานั้นสมควรอย่างยิ่งที่จะมอบให้เป็นสิ่งพลีเพื่อความใกล้ชิดกับพระผู้สร้างอันสูงส่ง และพระผู้ให้บังเกิดอันยิ่งใหญ่
วันหนึ่งมุศอับ ได้ออกไปหาพี่น้องมุสลิมีนขณะที่พวกเขานั่งห้อมล้อมท่านเราะซูล ทันทีที่พวกเขามองเห็นมุศอับ พวกเขาก็ก้มศรีษะและลดสายตาลง นัยน์ตาของบางคนมีน้ำตาหลั่งออกมา ทั้งนี้ก็เพราะว่าเมื่อพวกเขาเห็นมุศอับสวมเสื้อเก่าปุปะ ทำให้พวกเขาหันกลับไปนึกภาพในอดีตของมุศอับก่อนเข้ารับอิสลาม ซึ่งขณะนั้นเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่เปรียบเสมือนดอกไม้ที่อยู่ในสวน สีสันสดใส สง่างามและมีกลิ่นน้ำหอมฟุ้งกระจายไป
ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ได้มองดูสภาพของเขาด้วยสายตาแห่งนักปรัชญา สายตาแห่งความขอบคุณ และสายตาแห่งความรัก รอยยิ้มที่สง่างามได้ปรากฏขึ้นเป็นประกายบนริมฝีปากทั้งสองของท่าน พลางกล่าวว่า
"โดยแน่นอนฉันได้เห็นมุศอับคนนี้ และในนครมักกะฮ์ ไม่มีชายหนุ่มคนใดได้รับความโปรดปรานและความรักใคร่ ณ ที่บิดามารดาของเขามากกว่าเขา แต่เขาได้เสียสละความสุขดังกล่าวทั้งหมด เพื่ออัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์"
เมื่อนางหมดความหวังที่จะทำให้เขาปฏิบัติตามในสิ่งที่นางต้องการแล้ว ดังนั้นนางจึงระงับทุกสิ่งที่เคยมีบุญคุณและคามกรุณาแก่เขา จนกระทั่งนางไม่ยอมให้อาหารทุกชนิดแก่มนุษย์คนใดก็ตามที่ผินหลังให้กับบรรดาพระเจ้าของนาง พร้มกับสาปแช่งถึงแม้ว่มนุษย์คนนั้นจะเป็นลูกของนางก็ตาม !!!
ปรากฏว่าคำสาบานครั้งสุดท้ายของนางที่มีต่อเขา เมื่อนางพยายามที่จะกักขังเขาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เขาเดินทางกลับมาจากเมืองอัลหะบะชะฮ์ มุศอับได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า หากนางกระทำการใดๆที่จะกักขังเขาอีก เขาจะต่อสู้กับทุกๆคนที่นางขอความช่วยเหลือเพื่อนำเขาไปกักขัง และแน่นอนนางรู้ดียิ่งถึงความเด็ดเดี่ยวของเขา เมื่อเขามีความตั้งใจและมีความมุ่งมั่น ดังนั้นนางได้กล่าวลาเขาด้วยการร้องไห้ และเขาก็ได้กล่าวลานางด้วยการร้องไห้ด้วยเช่นกัน
ขณะที่มีการกล่าวลาระหว่างแม่กับลูกนั้น จะเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งถึงการยืนกรานอย่างน่าประหลาดถึงการปฏิเสธศรัทธาของฝ่ายแม่ และการยืนกรานอย่างน่าทึ่งในการศรัทธาของฝ่ายลูก ขณะที่นางกล่าวไล่ลูกชายออกจากบ้านนางได้กล่าวว่า จงออกไปให้พ้นตามเรื่องตามราวของเจ้า ข้ามิได้เป็นแม่ของเจ้าแล้ว เขาได้เข้าไปใกล้นางพลางกล่าวว่า
"โอ้แม่จ๋า ! ลูกขอเตือนและแนะนำแม่ และลูกมีความห่วงใยและวิตกกังวลต่อแม่ ดังนั้นแม่จงปฏิญานตนเถิดว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และแท้จริงมุฮัมมัดนั้นเป็นบ่าวและเราะซูลของพระองค์"
แม่ของเขาตอบด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวและกล่าวด้วยความโกรธแค้นว่า"ขอสาน ด้วยดวงดาวที่มีประกายแสงจ้า ข้าจะไม่เข้าสู่ศาสนาของเจ้าเป็นอันขาด เพื่อข้าจะได้ถูกเหยียดหยามและถูกกล่าวหาว่าเป็นคนปัญาอ่อน !!!"
มุศอับได้ออกจากบ้านที่เพรียบพร้อมดวยความสุขารมณ์ ซึ่งเขาเคยใช้ชีวิตอยู่ในยามหนุ่มแน่น โดยเลือกเอาความยากลำบากและความยากจน เด็กหนุ่มที่ชอบความสวยงามมีกลิ่นอบอวลไปด้วยน้ำหอมนานาชนิด ได้กลับกลายมาเป็นเด็กหนุ่มที่สวมใส่เสื้อผ้าที่หยาบกร้าน มีกินวันหนึ่งและอดไปอีกหลายวัน แต่จิตวิญญานที่ส่องแสงประกายด้วยรัศมีของอัลลอฮ์ ทำให้เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสง่างามและมีความน่าประทับใจ
ติดตามตอนต่อไป»»
Click<<< มุศอับ อิบนุ อุไมร 1 มุศอับ อิบนุ อุไมร 3 >>>Click