ท่าทีท่านเราะซูล ที่มีต่อพวกยิวที่ผิดคำสัญญา
พวกยิว (ยะฮูด) เป็นผู้สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติตามท่านนะบีมุฮัมมัด ขณะที่ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นเราะซูล เพราะพวกเขารู้ดีว่าการมาปรากฏของนะบีท่านสุดท้ายตามคำกล่าวในคัมภีร์ของชาวยิวใกล้เข้ามาแล้ว ซึ่งพวกเขารู้ลักษณะต่างๆของท่านเราะซูลเป็นอย่างดี แต่เมื่อปรากฏว่าเราะซูลนั้นมิใช่บุคคลที่มาจากชนชาวยิว พวกเขาจึงปฏิเสธไม่ยอมเข้ารับศาสนาของมุฮัมมัด และได้ปกปิดความจริงที่รู้มา เพราะความอิจฉาริษยาที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแค่การปกปิดความจริงเท่านั้นพวกเขายังเบี่ยงเบนประเด็นข้อเท็จจริง ขณะที่พวกกุเรชถามผู้นำของยิวบางคนถึงความเกี่ยวข้องของพวกเขากับท่านนะบีมุฮัมมัด เขาตอบว่า :
พวกท่านดีกว่าและอยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรงกว่ามุฮัมมัด
อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จึงได้ประทานอายะฮ์นี้ลงมาว่า :
เจ้า (มุฮัมมัด) มิได้เห็นบรรดาผู้ที่ได้รับส่วนหนึ่งจากคัมภีร์ดอกหรือ?โดยที่พวกเขาศรัทธาต่อ อัลญิบติ (เจว็ด) และ อัฏ-ฏอฆู๊ต (ชัยฎอนหรือทุกสิ่งที่ถูกเคารพกราบไหว้อื่นจากอัลลอฮ์) และกล่าวกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาว่า พวกเขาเหล่านี้แหละเป็นผู้อยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรงกว่าบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย (อันนิซาอ์ 4 : 51)
พวกเขาได้ยื่นคำถามให้พวกกุเรชถามท่านนะบีมุฮัมมัด เพื่อสร้างความอึดอัดใจให้แก่ท่านนบีมุฮัมมัด (*1*) และเมื่อท่านเราะซูล เดินทางมาถึงเมืองมะดีนะฮ์ ท่านได้แสดงความสุภาพอ่อนโยน เอ็นดูเมตตาสงสารต่อพวกยะฮูดอย่างเปิดเผย และปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นอย่างดี และเปิดกว้างเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายบรรลุผลสำเร็จ ท่านเราะซูล ได้เซ็นสัญญาสงบศึกกับชาวยิว พวกยะฮูดที่เซ็นสัญญาก็เพื่อให้อยู่รอดในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ภายในหัวใจนั้น พวกเขารอคอยโอกาสและหาช่องทางที่จะขจัดมุสลิมให้หมดสิ้นไปจากเมืองมะดีนะฮ์ พวกยิวได้แสดงออกถึงความอิจฉาริษยาต่ออิสลาม และบรรดามุสลิมด้วยรูปแบบต่างๆ เช่น การดูถูกเหยียดหยาม การเยาะเย้ย สร้างความคลุมเครือและความสงสัยให้เกิดขึ้น พยายามปลุกความเป็นพรรคพวกนิยมระหว่างชาวอาหรับที่เมืองมะดีนะฮ์ขึ้นมาใหม่ และสนับสนุนให้มีขบวนการตีสองหน้า(นิฟ๊าก) โดยที่มีบางคนเข้ารับอิสลามเพื่อโกหกและหลอกลวง แล้วออกมาจากอิสลาม เพื่อสร้างความสงสัยให้เกิดแก่ผู้คนต่อศาสนาของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
ดังที่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวถึงพวกนั้นไว้ว่า :
และ กลุ่มหนึ่งจากหมู่ชนที่ได้รับคัมภีร์กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาในตอนเริ่มต้นของกลางวัน (เช้าตรู่) และจงปฏิเสธศรัทธาในช่วงสุดท้ายของมัน(เย็น) เพื่อพวกเขาจะได้กลับใจ( อาละอิมรอน 3 : 72 )
แต่ท่านเราะซูล ยังคงยึดมั่นอยู่กับสัญญาที่ทำไว้กับพวกยะฮูดจนการละเมิด กลายมาเป็นการเผชิญหน้ากันอย่างโจ่งแจ้ง และในที่สุดพวกยิวได้ทำผิดสัญญาที่ทำไว้ และท่าทีของท่านร่อซูล ที่มีต่อพวกยะฮูด สามกลุ่ม ที่ได้ทำผิดสัญญา
วงศ์วานของยิว กอยนุก็ออ์
ชัยชนะของมุสลิมที่ได้รับในสงครามบัดร์ได้สร้างความเจ็บปวดขึ้นในหัวใจของพวกยะฮูด ที่อยากจะให้มุสลิมได้รับความหายนะ ยะฮูดบนีย์ก็อยนุก็ออ์ได้เปิดเผยความอิจฉา ความเกลียดชังที่อยู่ในใจออกมาอย่างชัดเจน หลังจากสงครามบัดร์ผ่านไป ด้วยเหตุนี้ท่านเราะซูล จึงได้เรียกพวกเขามาประชุมกัน ณ ที่ตลาด (ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวม) และท่านเราะซูล ได้กล่าวขึ้นว่า :
يَامَعْشَرَ يَهُوْد اِحْذَرُوْا مِنَ اللهِ مثل ما نـزل بِقُرَيْشٍ مِنَ النِّقْمَةِ ، وَأَسْلِمُوا فإِنَّكُمْ قَدْ عَرَفْتُمْ أنِّي نَبِيٌّ مُرْسَلٌ : تَجِدُوْنَ ذَلِكَ فِي كِتَابِكُمْ وَعَهْدِ اللهِ إِلَيْكُمْ : قَالُوْا يَا مُحَمَّدُ إِنَّكَ تَرَى أَنَّا قَوْمكَ لاَ يَغُرَّنَّكَ أَنَّكَ لَقِيْتَ قَوْمًا لاَ عِلْمَ لَـهُمْ بِالْحَرْبِ فَأَصَبْتَ مِنْهُمْ فُرْصَةً ، وَإِنَّا وَاللهِ لَئِنْ حَارَبْنَاكَ لَتَعْلَمَنَّ أَنَّا نَحْنُ النَّاس
โอ้ชาวยิวทั้งหลาย พวกท่านจงระวังการลงโทษจากอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มันเหมือนกับโทษที่ลงมาประสบกับพวกกุเรช จงเข้ารับศาสนาอิสลามเถิด เพราะพวกท่านรู้อยู่แล้วว่า แท้จริง ฉันนั้นคือนะบีที่ถูกส่งมา พวกท่านรู้ว่าเรื่องนี้มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของพวกท่านอยู่แล้ว
พวกยะฮู๊ดกล่าวว่า :
มุฮัมมัดเอ๋ย ท่านก็รู้ว่าเราเป็นพวกพ้องของท่าน ท่านอย่าได้หลอกตัวเองเลย ท่านได้เจอกับพวกที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องสงคราม ท่านจึงได้ประสบกับชัยชนะจากพวกเขา เราขอสาบานต่ออัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ว่า แน่นอน หากพวกเราทำสงครามกับท่านละก็ ท่านจะได้รู้ว่าเรานั้นเป็นมนุษย์พันธุ์แท้ (*2*)
นี่เป็นคำขู่ของพวกยิวที่มีต่อท่านเราะซูล แต่ท่านยังคงนิ่งเฉย จนกระทั่งยิวคนหนึ่งได้ล่วงเกินสตรีผู้ศรัทธา(มุมินะฮฺ) ในขณะที่นางไปในตลาดของพวกยะฮูด นางได้นั่งลงที่ช่างทำทอง พวกเขาต้องการให้นางเปิดผ้าคลุมหน้าออก นางปฏิเสธไม่ยอมเปิดหน้า ยิวผู้เป็นช่างทำทองผู้นั้นจึงใช้เล่ห์กลอันชั่วร้าย โดยผูกชายผ้าของเธอมาวางไว้บนหลัง เมื่อเธอลุกขึ้นยืนจึงทำให้ เอาเราะฮ์(สิ่งที่พึงสงวนและปกปิด) ของเธอต้องเผยออกมาให้เห็น แล้วพวกยะฮูดต่างหัวเราะชอบใจกัน เธอจึงร้องตะโกนเสียงดังขึ้น ทันใดนั้นมีมุสลิมคนหนึ่งกระโดดเข้าไปและได้สังหารยิวคนนั้น แล้วพวกยะฮูดก็เข้ามารุมทำร้ายและฆ่ามุสลิมคนนั้นจนตาย หลังจากนั้น ความเลวร้ายจึงเกิดขึ้นระหว่างมุสลิมกับยะฮูดีย์ (*3*)บะนีย์ กอยนุก็ออ์ถอนตัวออกไป
เหตุการณ์ที่เกิดจากยะฮูด บะนีย์ กอยนุก็ออ์ นั้น เป็นการกระทำที่ละเมิดข้อสัญญาที่มีต่อกัน ท่านเราะซูล จึงได้นำซอฮาบะฮ์ไปปิดล้อมพวกเขา และทำสงครามเป็นเวลา 15 คืน ในที่สุดพวกยิวจึงยอมจำนน และตกอยู่ภายใต้การปกครองของท่านนะบี ในเหตุการณ์ครั้งนี้ อับดุลลอฮ์ อิบนุ อุบัยย์ อิบนุ์ ซะลูล พวกที่ตีสองหน้าของพวกยะฮูด ได้เข้ามาอ้อนวอนให้ปล่อยพวกยิวไป ท่านเราะซูล จึงกล่าวว่า : (هم لك) พวกเขาเป็นกรรมสิทธิของท่าน
แล้วเขา(อับดุลลอฮ์)จึงให้ พวกยะฮูด บะนีย์ กอยนุก็ออ์ ออกจากเมืองมะดีนะฮ์ไปอยู่ที่ประเทศชาม(*4*) จากพฤติกรรมของ อับดุลลอฮ์ อิบนุ อุบัยย์ อิบนิ ซะลูล อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงประทานอายะฮ์ต่อไปนี้ลงมา คือ :
โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าได้ยึดเอาพวกยะฮูด (ยิว) และพวกคริสต์มาเป็นมิตร(เพราะ)บางส่วนของพวกเขานั้น คือ มิตรของอีกบางส่วน และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเอาพวกเขามาเป็นมิตรแล้วไซร้ แน่นอน ผู้นั้นก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขา แท้จริง อัลลอฮ์ นั้นไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่ก่ออธรรม
แล้วเจ้าจะได้เห็นบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีโรค(กลับกลอกตีสองหน้า)ต่างรีบเร่งกันไปอยู่ในหมู่พวกเขา โดยกล่าวว่า กลัวว่าภัยพิบัติจะเวียนมาประสบกับพวกเรา หวังว่าอัลลอฮ์ จะทรงนำมาซึ่งชัยชนะหรือไม่ก็นำเอาพระบัญชาอย่างหนึ่งอย่างใดจากที่พระองค์มา แล้ว(ในที่สุด)พวกเขาก็กลายเป็นผู้ที่เสียใจกับสิ่งที่พวกเขาได้ปกปิดไว้ในใจของพวกเขา
( อัลมาอิดะฮ์ 51-52)
บะนีย์ อันนะฏี๊ร์ ละเมิดข้อสัญญา
หลังจากสมรภูมิบัดร พวกยะฮูด บะนีย์ อันนะฏี๊ร ได้แสดงอาการอิจฉาริษยาเกลียดชังมุสลิมอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะ กะอ์บ บิบนิ้ล อัชร็อฟ หลังจากสมรภูมิบัดร เขาได้เดินทางไปยังนครมักกะฮ์ เพื่อแสดงความเสียใจและเป็นขวัญกำลังใจให้กับชาวกุเรช ที่ประสบกับเคราะห์กรรมในสนามรบ กะอ์บ บิบนิ้ล อัชร็อฟ ได้กล่าวคำกลอนรำพึงรำพันให้แก่พวกกุเรชที่เสียชีวิต และยุยงให้ทำสงครามกับมุสลิมอีก ด้วยเหตุนี้ท่านเราะซูล จึงสั่งให้สังหารเขา ท่านกล่าวว่า :
((مَن للكعب بن الأشرف فإنه قد آذى الله ورسوله صلى الله عليه وسلم ))
ใครจะเป็นคนจัดการ กะอ์บฺ บิบนิ้ล อัชร็อฟ เพราะเขาได้ทำร้ายอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และเราะซูล ของพระองค์
เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่ง บรรดาซอฮาบะฮ์จึงจัดการตามคำสั่ง(*5*) แต่การกระทำของกะอ์บ บิบนิ้ล อัชร็อฟ เป็นการกระทำส่วนบุคคล ท่านเราะซูล จึงมิได้ลงโทษ บะนีย์ นะฏี๊ร ทั้งหมด และการตายของ กะอ์บ บิบนิ้ล อัชร็อฟ ส่งผลทำให้พวกยิวเกรงกลัวต่อท่านเราะซูล จึงทำข้อตกลงขึ้นมาใหม่ โดยเน้นย้ำให้ปฏิบัติตามข้อตกลงครั้งก่อนที่ได้ทำไว้ที่นครมะดีนะฮ์ แต่พวก บะนีย์ นะฏี๊ร ยังมีความอิจฉาริษยาและเคียดแค้นต่อท่านนะบี พวกเขาจึงผิดสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้ และได้ทำการติดต่อในทางลับกับชาวกุเรช เพื่อสนับสนุนให้แข็งข้อกับมุสลิม อีกทั้งได้ส่งสัญญาณให้พวกกุเรชรู้ถึงจุดอ่อนของมุสลิม และหยิบยื่นการช่วยเหลือให้กับพวกกุเรชอีกด้วย(*6*)
พวกบะนีย์ นะฏี๊ร พยายามลอบสังหารท่านเราะซูล ขณะที่เดินทางไป เพื่อเจรจาในการจ่ายค่าชดเชย(ดิยะฮ์)ให้แก่ญาติของผู้ที่ถูกสังหารโดยซอฮาบะฮ์ท่านหนึ่งซึ่งมิได้มีเจตนาในการฆ่า พวกเขาได้ร่วมมือเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงที่ได้ทำร่วมกัน บะนีย์ นะฏี๊ร ขอให้ท่านนะบี นั่งรออยู่ข้างกำแพงบ้าน แล้วได้เข้าไปวางแผนที่จะลอบสังหารท่าน โดยใช้โอกาสขณะที่ท่านเราะซูล กำลังทำการตกลง โดยให้คนหนึ่งนำหินก้อนใหญ่โยนลงมาเพื่อสังหารท่าน แต่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงวะฮีย์ (ดลใจ)ให้ท่านเราะซูล รับรู้แผนชั่วนั้น ท่านจึงรีบลุกขึ้นเดินทางกลับไปยังมะดีนะฮ์ แล้วสั่งให้บรรดาซอฮาบะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม ออกเดินทางเพื่อทำสงครามกับพวกบะนีย์ นะฎี๊รมุสลิมได้เดินทางไปปิดล้อมเผ่า บะนีย์ นะฏี๊ร ท่านเราะซูล สั่งให้พวกเขามาทำสัญญาใหม่ แต่พวกเขากลับปฏิเสธไม่ยอมทำตาม ท่านเราะซูล จึงทำสงคราม จนในที่สุดพวกเขาก็ยอมจำนน ท่านจึงสั่งให้พวกเขาถอนตัวออกไปจากเมืองมะดีนะฮ์ โดยมีสิทธิ์ที่จะนำเอาสัมภาระติดตัวไปเท่าที่อูฐบรรทุกได้ พวกเขาจึงบรรทุกสัมภาระต่างๆ เท่าที่สามารถจะบรรทุกมันไว้บนหลังอูฐ และได้ทำลายข้าวของอื่นๆ ที่มีอยู่ในบ้าน เพื่อมิให้มุสลิมนำเอามาใช้ประโยชน์ได้อีก บางคนในพวกบะนีย์ นะฎี๊ร ไปอยู่ที่เมืองคอยบัร บางคนไปอยู่ที่เมืองชาม
เหตุการณ์ครั้งนั้นได้เกิดขึ้นปีที่ 4 แห่งฮิจญ์เราะฮ์ศักราช(*7*) เรื่องของบะนีย์ อันนะฎีร อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ประทานซูเราะฮ์ อัลฮัซริ ลงมา
ยะฮูด บะนีย์กุรอยเซาะฮ์ผิดสัญญา
การละเมิดสัญญาของพวกบะนีย์ กุรอยเซาะฮ์ เกิดขึ้นในช่วงที่มีภาวะคับขัน มุสลิมกำลังเตรียมการเพื่อสกัดกั้นและขัดขวางพวกมุชริกีนที่กำลังปิดล้อมเมืองมะดีนะฮ์ ซึ่งมีกำลังพล 10,000 นาย การละเมิดสัญญาข้อตกลงมีสาเหตุจากการปลุกปั่นของยะฮูด บะนีย์ นะฎีร หลังจากที่ถูกขับออกจากเมืองมะดีนะฮ์ ได้มีการติดต่อกันระหว่างผู้นำของบะนีย์ นะฎีร์ คือ ยะฮ์ยา อิบนุ อัคฏ็อบ กับ กะอ์บ อิบนุ อะซัด ผู้นำของบะนีย์ กุรอยเซาะฮ์ ผู้นำบะนีย์ นะฎีร์ ได้ยุยงผู้นำของ บะนีย์ กุรอยเซาะฮ์ จนคล้อยตามและเห็นด้วยในการละเมิดสัญญา จึงยินดีเข้าร่วมทำสงครามต่อต้านและทำลายล้างมุสลิม เมื่อมุสลิมได้ทราบถึงแผนการณ์นั้นได้มีความกังวลและเกรงว่าจะเกิดอันตรายแก่บรรดาสตรีและเด็กๆ แต่ท่านเราะซูล มีแผนการที่รัดกุม โดยการกระจายหน่วยลาดตระเวนรอบๆ เมืองมะดีนะฮ์ เพื่อเป็นการเฝ้าระวังภายในเมืองมะดีนะฮ์ เมื่ออัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงจัดการให้กลุ่มมุชริกีนได้รับความพ่ายแพ้ จึงมีคำบัญชาจากอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มาถึงท่านนะบี ให้มุ่งหน้าไปจัดการกับพวกยิวบะนีย์ กุรอยเซาะฮ์ ทันที ท่านเราะซูล มีคำสั่งให้บรรดาซอฮาบะฮ์เคลื่อนกำลังไปประชิดพวกนั้นโดยเร็ว ท่านได้กล่าวว่า :
لاَيُصَلِّيَنَّ أَحَدٌ الْعَصْرَ إِلاَّ فِي بَنِي قُرَيْظَةใครก็ตามอย่าได้ทำละหมาด อัลอัศริ (ระหว่างทาง) เป็นอันขาด จนกว่าจะได้ไปถึงบะนีย์ กุรอยเซาะฮ์ เสียก่อน (*8*)
เมื่อไปถึงกองกำลังมุสลิมได้เตรียมพร้อมอยู่หน้าป้อมของบะนีย์ กุรอยเซาะฮ์ และปิดล้อมเป็นเวลา 25 คืน จนในที่สุดพวกเขาจึงยอมจำนนและยอมอยู่ภายใต้การปกครองของท่านเราะซูล และขอให้แต่งตั้ง ซะอ์ด อิบนุ มุอ๊าซ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เป็นผู้พิพากษาตัดสิน ซึ่งพวกเขาหวังว่าซะอ์ด อิบนุ มุอ๊าซ คงผ่อนปรนคำตัดสินในฐานะที่เคยมีข้อตกลงกันระหว่างฝ่ายเขากับฝ่ายซะอ์ด อิบนุ มุอ๊าซ เหมือนดังที่อับดุลลอฮ์ อิบนุ อุบัยย์ อิบนิ ซะลูล เคยทำให้บะนีย์ กอยนุก็ออ์ ท่านเราะซูล จึงรับข้อเสนอและเรียกซะอ์ดให้มาพบ เมื่อซะอ์ด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เข้ามาจึงได้พิพากษาตัดสินด้วยการประหารชีวิตนักรบยิว ส่วนลูกหลานให้ตกเป็นเชลย และทรัพย์สินแบ่งออกเป็นส่วนๆ ท่านเราะซูล กล่าวกับซะอ์ดว่า :قَضَيْتَ بِحُكْمِ اللهِ
ท่านได้ตัดสินให้เป็นไปตามบทบัญญัติของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แล้ว (*9*)
เพื่อปฏิบัติตามคำตัดสิน จึงมีการกักกันพวกยะฮูดและได้ขุดคันคูขึ้นในเมืองมะดีนะฮ์ พวกเขาถูกนำตัวมาเป็นกลุ่มๆ และผู้ที่ถูกประหารชีวิตมีจำนวนถึง 400 คน บางทัศนะว่ามีมากกว่านั้น(*10*) มีผู้ที่เปลี่ยนเข้ารับศาสนาอิสลาม(*11*) และผู้ที่ได้รับความคุ้มครองจากซอฮาบะฮ์ซึ่งพวกเขาจะไม่ถูกประหารชีวิต(*12*) สำหรับทรัพย์สินของบะนีย์ นะฎีร ได้ถูกจัดสรรปันส่วนในหมู่มุสลิมการลงโทษ ยิวบะนีย์ กุรอยเซาะฮ์
โทษที่บะนีย์ กุรอยเซาะฮ์ได้รับนั้นเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ความรู้สึกดังกล่าวได้หมดไปเมื่อมองดูด้วยใจเป็นธรรมและเป็นกลาง จากสถาณการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ;
การละเมิดสัญญาของบะนีย์ กุรอยเซาะฮ์ได้ปรากฏขึ้นหลังจากที่รับรู้ถึงการลงโทษกับกลุ่มยะฮูดต่างๆ ก่อนที่จะเกิดกับพวกเขา ทั้งนี้เพราะพวก บะนีย์ กอยนุก็ออ์ และบะนีย์ นะฎีร์ได้รับโทษด้วยเหตุจากการละเมิดสัญญาข้อตกลง และเป็นการเตือนให้ระวังว่าอย่าได้กระทำเช่นนั้น แต่พวกเขาไม่ได้รับประโยชน์อันใดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่นำมาเป็นอุทาหรณ์ ฉะนั้นการลงโทษต่อผู้ที่ได้รับการตักเตือนให้ระวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย่อมต้องหนักกว่าผู้ที่ได้รับการเตือนให้ระวังเพียงครั้งเดียว บะนีย์ กุรอยเซาะฮ์ ได้ทำผิดสัญญาสองอย่างด้วยกัน
- ความผิดที่หนึ่ง การไม่ใส่ใจกับข้อตกลงที่ทำกันไว้กับมุสลิม ว่าด้วยการร่วมมือป้องกันเมืองมะดีนะฮ์ หากมีศัตรูเข้ามารุกราน
- ความผิดที่สอง เป็นความผิดที่ร้ายแรงยิ่งกว่าในข้อแรก เพราะไม่เพียงแต่เพิกเฉยไม่ยอมร่วมมือป้องกันมะดีนะฮ์ ซ้ำยังสนับสนุนศัตรูและให้ความร่วมมือในการโจมตีมุสลิมอีกด้วย ฉะนั้นการลงโทษจึงรวมความผิดทั้งสองข้อไว้ด้วยกัน ซึ่งย่อมรุนแรงและเจ็บปวดมากกว่าผู้ที่ทำความผิดเพียงข้อเดียว การทำผิดสัญญาของบะนีย์กุรอยเซาะฮ์เกิดขึ้นในขณะที่มุสลิมกำลังตกอยู่ในสถาณการณ์ที่คับขัน ถ้าหากไม่ใช่การดูแลเอาใจใส่ของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และการช่วยเหลือของพระองค์ที่มีต่อบรรดาผู้ศรัทธาแล้ว เหตุการณ์ที่เลวร้ายคงเกิดขึ้นกับมุสลิม ด้วยเหตุนี้โทษฑัณฑ์ที่พวกบะนีย์กุรอยเซาะฮ์ ได้รับนั้นเหมาะสมและคู่ควรแก่สิ่งพวกเขาได้วางแผนไว้ และการลงโทษจึงเป็นสิ่งเดียวกับที่พวกเขาได้คิดเอาไว้ เมื่อซะอ์ด อิบนุ มุอ๊าซ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เป็นผู้ออกคำตัดสินลงโทษพวกบะนีย์กุรอยเซาะฮ์ ที่ทำผิดถือเป็นกฎหมายข้อบังคับของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่กำหนดไว้ ดังที่ท่านนะบี ได้ยืนยันให้ทราบขณะที่ท่านได้พูดกับซะอ์ด ว่า ;قَضَيْتَ بِحُكْمِ اللهِ
ท่านได้ตัดสินไปตามบัญญัติของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แล้ว
และใครเล่าจะตัดสินได้ยุติธรรมและดียิ่งไปกว่าอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ซึ่งพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงเจตนารมณ์ของพวกยะฮูด อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงรู้ถึงคำตัดสินที่เหมาะสมกับความผิดที่พวกเขาได้ก่อขึ้น และไม่มีสิทธิที่จะคัดค้านคำตัดสินของผู้ตัดสินที่ดีที่สุด(อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ด้วยการจัดการขั้นเด็ดขาดกับพวกยะฮูดบะนีย์ กุรอยเซาะฮ์ และบะนีย์ กอยนุก็ออ์ และบะนีย์ นะฎีร์ ได้อพยพออกไปทำให้มุสลิมในเมืองมะดีนะฮ์ รู้สึกสบายใจ โดยไม่ต้องคอยระวังศัตรูที่คอยหาโอกาสเพื่อเข้าห้ำหั่นมุสลิมอยู่ตลอดเวลา
ดร.อัดุลลอฮฺ อิบนุ อับดิรเราะฮ์มาน อัลค็อรอาน
...ประเด็นต่างๆในการศึกษาชีวประวัตินะบีมุฮัมมัด
- ซุนัน อัตติรมิซีย์ เล่ม 4 หน้า 366 ฮะดีษที่ 5148
- ซีเราะฮฺ อิบนิ ฮิชาม เล่ม 2 หน้า 426
- ซีเราะฮฺ อิบนิ ฮิชาม หน้า 2427
- อ้างแล้ว ในอัลมัซดัรฺ อัซซาบิ๊ก หน้า427-428 ฏ่อบะก็อต อิบนิ ซะอ์ดฺ เล่ม 2 หน้า92
- ซอฮี๊ฮฺ อัลบุคอรีย์ บทที่ว่าด้วย สงครามต่างๆ ภาคการสังหาร กะอ์บฺ บิบนิ อัชร็อฟ หน้า 15
- มะฮฺดีย์ ร่อซะกัลลอฮฺ อัซซีเราะฮฺ อันนะบะวียะฮฺ หน้า 418
- จากการถอนตัวออกไปจากมะดีนะฮฺของพวกบะนีย์ นะฎี๊รฺ ดู ซ่อฮี๊ฮฺ อัลบุคอรีย์ บทที่ว่าด้วยเรื่อง สงครามต่างๆ ภาคฮะดีษ บะนีย์ อันนะฎี๊รฺ ฮะดีษที่ 14 ซีเราะฮฺ อิบนิ ฮิชาม เล่มที่ 3 หน้า 191 อัลบัยฮะกีย์ ดะลาอิล อัลนุบูวะฮฺ เล่มที่ 3 หน้า 181-182
- ซอฮี๊ฮฺ อัลบุคอรีย์ บทที่ว่าด้วยเรื่อง อัลมะฆอซีย์ ภาคที่ 30 สงครามบะนีย์ กุรอยเซาะฮ์
- อ้างแล้ว อัลมัซดัร อัซซาบิก ในบทและภาคเดียวกัน
- จากการรายงานต่างๆที่ระบุถึงจำนวนผู้ถูกประหารชีวิต ดูในหนังสือของ อิบนุ ฮะญะริน ฟัตฮุลบารีย์ เล่ม 7 หน้า 414 ดูหนังสือของ มะฮฺดีย์ ร่อซะกัลลอฮิ อัซซีเราะฮฺ อันนะบะวีย์ยะฮฺ หน้า 461
- ซอฮี๊ฮฺ อัลบุคอรีย์ บทอัลมะฆอซีย์ ภาคฮะดีษ บะนีย์นะฎี๊รฺ เลขที่ 14
- ซีเราะฮฺ อิบนุ ฮิชาม เล่ม 3 หน้า 261 263