ท่านหญิงอุมมุ ซะละมะห์ 2
  จำนวนคนเข้าชม  6055

ท่านหญิงอุมมุ ซะละมะห์ 2


          ครั้นมาถึง "ตะนะอีม" (ปัจจุบันอยู่ห่างมักกะห์ประมาณสามไมล์) ก็พบ อุสมาน อิบนิ ฎอลละห์ (เป็นผู้ดูแลบัยตุลเลาะห์ในสมัยญาฮิลียะห์ เข้ารับอิสลามพร้อมกับท่านคอลิด อิบนิลวะลีด และเข้าร่วมรบในศึกเปิดเมืองมักกะห์ ท่านรอซูล ได้มอบกุญแจกะบะห์ให้ และในวันที่เขาพบกับอุมมุซะละมะห์นั้น เขายังเป็นมุชริกอยู่) เขาถามฉันว่า :

          จะไปไหนหรือ? โอ้บุตรสาวของ "ซาดิรฺรอกิบ"? (หมายถึงหัวหน้าเผ่าบนีมัคซูมซึ่งเป็นบิดาของนาง)

ฉันตอบว่า :

           ต้องการจะไปพบสามีที่มะดีนะห์

เขาถามฉันอีกว่า :

          ไม่มีใครสักคนหนึ่งร่วมเดินทางไปกับเธอด้วยหรือ?

ฉันตอบว่า :

          ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ไม่มีใครเลย มีแต่อัลเลาะห์และลูกน้อยของฉันนี้เท่านั้น

เขาจึงพูดขึ้นว่า :

         ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอเดินทางไปมะดีนะห์โดยลำพัง เป็นอันขาด

พลางเขาก็จับเชือกอูฐพาฉันออกเดินทางไปโดยเร็ว อุมมุซะละมะห์ เล่าว่า :

          ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ไม่มีเพื่อนชาวอาหรับผู้ใดที่มีเกียรติและ ประเสริฐยิ่งกว่าเขาอีกแล้ว จะไม่ให้ฉันพูดเช่นนี้ได้อย่างไร? เพราะยามใดที่ต้องหยุดพัก เขาจะให้อูฐของฉันคุกเข่าลง และตัวของเขาเองก็จะออกไปอยู่ห่างๆ จนกระทั่งฉันลงจากหลังอูฐ เสร็จแล้วเขาก็จะเข้ามาเอาที่พักบนหลังอูฐลง และจูงอูฐไปผูกไว้กับต้นไม้ ส่วนตัวเขาจะอาศัยใต้ต้นไม้อีกต้นหนึ่งซึ่งอยู่ห่างฉันออกไป เมื่อได้เวลาต้องออกเดินทางเขาก็ลุกขึ้นเดินทางต่อไป เขาจูงมันมาหาฉัน และเดินออกไปห่างๆ พร้อมกับบอกกับ ฉันว่า : "ขึ้นอูฐเถิด" เมื่อฉันขึ้นบนอูฐและนั่งบนหลังมันเสร็จเรียบร้อย เขาก็จะเดินทางเข้า มาคว้าเชือกอูฐจูงต่อไป เขาปฎิบัติต่อฉันเช่นนั้นเป็นประจำทุกวัน จนเรามาถึง "มะดีนะห์" เมื่อเขาแลเห็นตำบลหนึ่งที่ "กุบาอฺ" (ตำบลหนึ่งอยู่ห่างมะดีนะห์ประมาณสองไมล์) ซึ่งเป็นสถานที่ของเผ่า "บนีอัมรฺ อิบนิ เอ๊าฟฺ" เขาบอกฉันว่า :

          สามีของเธออยู่ตำบลนี้แหละจงเข้าไปหาเขาที่นั่นด้วยความศิริมงคลของอัลเลาะห์เถิด แล้วเขาก็ผินหลังกลับมุ่งสู่มักกะห์ทันที

          ณ บัดนี้ คนที่บ้านแตกสาแหรกขาด อันได้แก่ครอบครัวของ "อุมมุ ซะละมะห์" ก็ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ต้องพลัดพรากจากกันเป็นเวลานาน มารดาของ "ซะละมะฮฺ" มีความปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับสามี และบิดาของ "ซะละมะห์" ก็มีความสุขที่ได้พบกับภรรยและบุตร

         แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปยังไม่ทันไร ก็มีเหตุทำให้ต้องพลัดพราดจากกันอีก นั่นก็คือสงคราม"บะดัร" ซึ่งอบูซะละมะห์ได้เข้าร่วมรบด้วย และก็นำชัยชนะอย่างเด็ดขาดกลับมาพร้อมกับพี่น้องมุสลิม
 
        สงครามอุฮุด อบูซะละมะห์ได้ถูกทดสอบอย่างงดงามและมีเกียรติอีกครั้งหนึ่งแต่ศึกครั้งนี้เขาได้รับบาดแผลฉกรรจ์ และเขาได้เยียวยารักษาแผลนั้น หากดูเผินๆแล้วก็เหมือนกับว่าเกือบจะหายแล้ว แต่ความจริงบาดแผลภายในยังเป็นอันตรายอยู่ จึงทำให้เขาต้องนอนป่วยอยู่เช่นนั้น ครั้งหนึ่งขณะที่อบูซะละมะห์กำลังได้รับการเยียวยาบาดแผล อยู่นั้นเขาได้กล่าวกับภรรยาว่า :

          อุมมุซะละมะห์เอ๋ย ฉันได้ยินท่านรอซูล กล่าวว่า ความทุกข์ยากจะ ไม่เกิดขึ้นกับผู้หนึ่งผู้ใด หากขณะที่เขาประสบนั้นเขาจะกล่าวว่า ;
          แน่นอนเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลเลาะห์ และแน่นอนเราต้องกลับไปยังพระองค์
และกล่าวดุอาอฺว่า ;
          โอ้อัลเลาะห์ ข้าพระองค์คิดว่าความทุกข์ยากนี้มาจากพระองค์ โอ้อัลเลาะห์ โปรดให้ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไปที่ดีกว่าความทุกข์ยากนี้ด้วยเทอญ
หากใครวิงวอนเช่นนี้อัลเลาะห์ ก็จะทรงรับคำวิงวอนของเขา

 
          อบูซะละมะห์ยังคงนอนป่วยอยู่หลายวัน จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง ท่านรอซูล มาเยี่ยมและเมื่อท่านลุกขึ้นกลับไป ยังไม่ทันจะพ้นประตูบ้าน อบูซะละมะห์ก็สิ้นชีวิต ท่านนบี ปิดนัยน์ตาทั้งสองข้างด้วยมือทั้งสอง อันประเสริฐของท่านให้แก่อบูซะละมะห์ ท่านเหลือบตาสู่เบื้องบนและกล่าวว่า :

          ขออัลลอฮฺ ทรงโปรดยกโทษให้แก่อบีซะละมะห์ และขอพระองค์ทรงโปรดให้เขาได้อยู่ในสวนสวรรค์พร้อมกับผู้ใกล้ชิดพระองค์ และขอพระองค์ทรงให้ผู้ที่เขาทอดทิ้งอยู่เบื้องหลังได้มีผู้มาแทนเขา เพื่อดูแลลูกและภรรยาของเขาเหมือนแต่ก่อนด้วยเถิด โอ้พระเจ้าของโลกทั้งผอง ขอพระองค์ทรงอภัยโทษให้พวกเราและอบูซะละมะห์ด้วยเถิด ขอให้กุโบรของเขากว้างขวางมีแสงสว่างด้วยเถิด
 
          อุมมุซะละมะห์นึกทบทวนคำที่สามีได้บอกแก่นาง ซึ่งเป็นคำพูดของ ท่านรอซูล และกล่าวว่า :
          โอ้อัลเลาะห์ นับว่าความทุกข์ยากของฉันนี้มาจากพระองค์
          แต่นางไม่สามารถทำใจให้กล่าวอีกได้ว่า :
          โอ้อัลลอฮฺ โปรดตอบแทนสิ่งที่ดียิ่งกว่าความทุกข์ยากนี้แก่ฉันด้วย
           ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนางตั้งคำถามเสมอว่า :
          ยังมีใครอีกหรือที่จะเป็นคนดียิ่งกว่าอบูซะละมะห์?

          แต่นางก็ต้องอ้อมแอ้มกล่าวดุอาอฺต่อไปจนจบ

          บรรดาพี่น้องมุสลิมต่างเศร้าใจต่อเหตุการณ์ที่มาประสบกับอุมมุซะละมะห์ เพราะไม่เคยมีความ โศกเศร้าเช่นนี้ให้แก่ความทุกข์ยากของใครมาก่อนเลย พวกเขาขนานนามอุมมุซะละมะห์ ว่า "อัยยิมุลอฺะรอบีย์" หรือ "สตรีที่พลาดโอกาสในตัวสามี" เพราะนางไม่มีญาติพี่น้องอยู่ในมะดีนะห์ นอกจากเด็กน้อยคนเดียวซึ่งมีสภาพคล้ายกับลูกไก่ตัวเล็กๆเท่านั้น

          ชาวมุฮาญิรีนและอันซ้อรต่างก็ตระหนักดีถึงสิทธิ์ของอุมมุซะละมะห์ ซึ่งจำเป็นที่พวกเขาต้องรับผิดชอบ และเกือบไม่ทันจะหายจากความเศร้าโศกที่นางต้องสูญเสีย อบีซะละมะห์ผู้เป็นสามี ท่านอบูบักรฺ อัศศิดดิ๊กก็เสนอตัวสู่ขอนางให้กับตัวเอง แต่นางก็ไม่ตอบรับความประสงค์ของท่าน หลังจากนั้นท่านอุมัร ก็มาสู่ขอนางอีก และนางก็ปฎิเสธอีกเช่นกัน

          ต่อมาท่านร่อซูล ได้เสนอตัวสู่ขอนางแต่นางได้บอกกับท่านว่า :

          โอ้ท่านร่อซูลของอัลเลาะห์ ฉันยังมีอุปสรรค์อยู่สามประการคือ ฉันเป็นหญิงที่มีความหึงหวงมากเกรงว่าท่านจะพบสิ่งไม่ดีงามอันจะทำให้ท่านโกรธกริ้ว และอัลเลาะห์จะทรงเอาโทษฉัน ประการที่สอง ฉันเป็นหญิงที่ผ่านการมีชีวิตสมรสมาแล้ว และประการที่สาม ฉันเป็นหญิงมีลูกติด

ท่านรอซูล ตอบว่า:

          ที่เธอบอกว่าเธอเป็นคนมีความหึงหวงมากนั้น ฉันขอดุอาอฺต่ออัลเลาะห์ให้มันหายไปจากเธอ และที่เธอบอกว่าเคยผ่านการมีคู่ครองมาแล้วนั้น ฉันเองก็มีสภาพเช่นเดียวกับเธอ และที่บอกว่าเธอมีลูกติดนั้นลูกของเธอก็คือลูกของฉัน
 
          ในที่สุดท่านรอซูล ก็สมรสกับ "อุมมุซะละมะห์" ซึ่งอัลเลาะห์ทรงรับดุอาอฺของนาง และให้เธอมีคู่ชีวิตที่ดีกว่า "อบีซะละมะห์" ผู้ที่จากไป

          นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา "ฮินดฺ อัลมัคซูมียะห์" ไม่ได้เป็นเพียงมารดาของซะละมะห์คนเดียวเท่านั้น หากแต่นางยังเป็นมารดาของมุอฺมินทุกคนอีกด้วย
 
          ขออัลเลาะห์โปรดประทานความดีงามให้แก่อุมมุซะละมะห์ในสรวงสวรรค์ด้วยเถิด ขออัลเลาะห์ทรงพอพระทัยนางด้วย


Click<<<     ท่านหญิงอุมมุ ซะละมะห์ 1                   

จาก หนังสือประวัติซอฮาบะห์

เผยแพร่โดย สายสัมพันธ์