ท่านหญิงอาซียะห์ บินตฺ มุซาฮิม
ภรรยาฟาโรห์แห่งอียิปต์
ตอนที่ 2
และแล้วมูซาก็ได้เป็นเด็กที่อาศัยอยู่ในวัง เขาได้รับความรักจากนางอาซียะห์ นายหญิงของวัง พร้อมทั้งได้รับความอบอุ่นจากแม่ที่แท้จริงของเขา และในวันหนึ่ง ขณะที่ฟิรอูน(ฟาโรห์) กำลังหยอกล้อกับมูซาเหมือนดังเช่นที่พ่อลูกทั่วๆไปกระทำกัน มูซาได้ดึงเคราของฟิรอูนเล่นอย่างแรง สร้างความเจ็บปวดแก่ฟิรอูนเป็นอย่างมาก เขาโกรธมาก โหรของวังซึ่งอยู่ใกล้ๆได้กล่าวขึ้นว่า :
โอ้นายท่าน ข้าน้อยคิดว่า เด็กคนนี้จะทำให้บัลลังก์และอาณาจักรของท่านต้องสูญสิ้น
โหรคนนี้มีความเคลือบแคลงในการที่มูซาได้เข้ามาเสวยสุขอยู่ในวัง และการที่เขารอดพ้นจากการถูกฆ่า
คำพูดของโหรสร้างความหวาดระแวงแก่ฟิรอูน เกรงว่าจะสูญเสียอำนาจจริง ฟิรอูนจึงกล่าวด้วยความโกรธว่า :
จงเอาเด็กคนนี้ไปฆ่าเสีย
นางอาซียะห์ได้ยินจึงกล่าวถามว่า :
เขาทำความผิดอะไรทำไมท่านถึงจะฆ่าเขา ?
ฟิรอูนกล่าวว่า :
เธอไม่เห็นหรือว่ามันทำอะไรกับฉัน เด็กคนนี้มันเย้ยหยันฉัน!
นางอาซียะห์กล่าวว่า :
มูซาเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ เขาไม่รู้หรอกว่าเขาได้ทำอะไรลงไป
ฟิรอูนจึงกล่าวว่า :
ไม่...เด็กคนนี้จะทำลายฉัน เธอไม่ได้ยินที่โหรพูดหรอกหรือ ?
นางอาซียะห์กล่าวว่า :
โอ้สามีที่รัก โปรดพิจารณาด้วยความรอบคอบ เด็กคนนี้ยังไม่รู้ประสีประสาอะไร ฉันจะพิสูจน์ให้ท่านเห็น ฉันจะเอาทับทิมมาหลายๆเม็ดใส่ไว้ในจาน และฉันจะเอาหินที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงไว้อีกจาน ถ้าหากมูซาเลือกที่จะหยิบทับทิมก็หมายความว่า เขารู้เรื่องทุกอย่างดี ดังนั้นท่านก็จงฆ่าเสีย แต่ถ้าหากเขาเลือกที่จะหยิบหิน ก็แสดงว่าเขาเป็นเด็กธรรมดาๆที่ไม่รู้ประสาอะไร
ฟิรอูนจึงกลก่าวว่า :
อืม...เป็นความคิดที่ดี
และด้วยพระประสงค์ของอัลเลาะห์ ทำให้มูซายื่นมือของเขาไปจับหิน จึงทำให้เขารอดพ้นจากการถูกฆ่า และได้เติบโตในวังของฟิรอูน และอยู่ในอ้อมอกของนางอาซียะห์ต่อไป
มูซาเป็นเสมือนลูกของทั้งสอง จนกระทั่งโตเป็นหนุ่ม มูซานั้นเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของนางอาซียะห์ ซึ่งนับวันนางก็ยิ่งรักเขามากขึ้น มากขึ้น มูซาได้เติบโตเป็นชายหนุ่มที่มีความเฉลียวฉลาดและมีความปราดเปรื่อง เขารู้ว่าตัวของนั้นมาจากบนีอิสรออีล ซึ่งเป็นเผ่าที่ได้รับความอธรรม และการกดขี่ข่มเหงจากฟิรอูนและกลุ่มชนของเขา เขาจึงให้ความเมตตากับบนีอิสรออีล แต่เขาก็ฉลาดพอที่จะไม่แสดงออกอย่างชัดเจน เพื่อที่จะได้ไม่ถูกกล่าวหาจากฟิรอูน และกลุ่มชนของเขา
มูซาได้เดินทางไปยังเมือง มันฟฺ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศอียิปต์ในสมัยนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างหลบๆซ่อนๆ เพื่อเข้าไปช่วยเหลือและจัดการเรื่องราวต่างๆให้แก่ชาวบนีอิสรออีล
ในครั้งหนึ่งขณะที่มูซาเข้าไปในเมือง เขาได้พบชายสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ คนหนึ่งเป็นชาวอิสรออีล ส่วนอีกคนเป็นชาวอียิปต์จากกลุ่มชนของฟิรอูน เมื่อชายคนที่มาจากบนีอิสรออีลเห็นมูซา จึงได้ร้องขอความช่วยเหลือจากเขา มูซาได้มุ่งตรงไปยังทั้งสอง และเข้าไปชกที่อกของชาวอียิปต์ ทำให้ชายคนนั้นล้มลงขาดใจตายทันที
มูซาเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงและมีเรี่ยวแรงที่มหาศาล เขาไม่มีเจตนาที่จะฆ่าชาวอียิปต์เลย เพียงแค่ต้องการจะแยกชายทั้งสองออกจากกัน มูซารู้สึกเสียใจในสิ่งที่ได้กระทำไป เขากล่าวขึ้นว่า :
นี่มันเป็นการกระทำของชัยฏอน แท้จริง มันเป็นศัตรูที่ทำให้หลงผิดอย่างแจ้งชัด
(อัลเกาะศ็อศ 28:15)
ในวันต่อมา มูซาได้เดินผ่านชายจากบนีอิสรออีลที่เคยตะโกนขอความช่วยเหลือจากเขาเมื่อวาน ชายผู้นั้นกำลังต่อสู้กับชายชาวอียิปต์อีกคนหนึ่ง ชายจากบนีอิสรออีลจึงร้องขอให้มูซามาช่วยอีก มูซาจึงเดินเข้าไปหาทั้งสอง เพื่อหวังที่จะแยกเขาออกจากกัน แต่ชาวบนีอิสรออีลกลับคิดว่า มูซาจะเข้ามาทำร้ายเขา จึงพูดต่อหน้าชายชาวอียิปต์ว่า :
โอ้มูซาเอ๋ย ท่านต้องการที่จะฆ่าฉัน ดังที่ท่านได้ฆ่าคนหนึ่งไปแล้วเมื่อวานนี้หรือ ? ท่านไม่ปรารถนาสิ่งใด นอกจากเป็นผู้ก่อกวนทารุณในแผ่นดิน และท่านไม่ปรารถนาที่จะเป็นผู้ปรองดองที่ดีต่อกัน
(อัลเกาะศ็อศ 28:19)
ด้วยเหตุนี้เอง ชาวอียิปต์ผู้นั้นจึงได้รู้ว่า มูซาคือผู้ที่ฆ่าคนตายเมื่อวานนี้ ซึ่งทางการกำลังตามล่าตัวเขาอยู่ โดยไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ฆ่า เมื่อฟิรอูนได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่มูซาได้กระทำลงไป เขาโกรธมาก สั่งการให้จับกุมและสังหารมูซาทันที บริวารคนหนึ่งของฟิรอูนซึ่งเป็นผู้ที่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์ รู้ว่าฟิรอูนสั่งจับตัวมูซา จึงได้รีบรุดไปบอกข่าวนี้แก่มูซา และเตือนให้มูซารีบหนีไปให้ไกล ไปในที่ซึ่งจะทำให้เขาปลอดภัยจากเงื้อมมือของฟิรอูรน มูซามุ่งหน้าไปยังเมือง มัดยัน ที่อยู่ห่างไกลจากประเทศอียิปต์มาก เขาได้พำนักอยู่กับชายซอและห์ที่มีลูกสาวสองคน โดยช่วยเขาทำงาน มูซาได้แต่งงานกับลูกสาวคนหนึ่งของชายซอและห์นั้น และได้พำนักอยู่ที่นั่นนานถึง 10 ปี
ตลอดระยะเวลา นางอาซียะห์เฝ้าแต่คิดถึงมูซา เฝ้ารอคอยวันที่จะพบกับเขาอีกสักครั้งหนึ่ง นางไม่เคยสิ้นหวัง และคอยติดตามถามข่าวคราวของเขาอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งวันหนึ่ง นางได้ยินเสียงอึกทึกที่หน้าประตูวัง นางจึงสั่งคนรับใช้ให้ไปสืบเรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่นานคนรับใช้ก็กลับมารายงานกับนางว่า :
โอ้นายหญิง มูซาได้กลับมาแล้ว พร้อมกับพี่ชายของเขาชื่อ ฮารูน เขาทั้งสองต้องการมาพบท่านฟิรอูน
นางอาซียะห์จึงรีบรุดไปที่ท้องพระโรง และได้เห็นฟิรอูนนั่งอยู่ที่นั่นแล้ว เธอมองไปยังมูซา และพบว่าเขาเปลี่ยนไป ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่หนีจากอียิปต์ไปเมื่อสิบปีก่อน เขากลับกลายเป็นชายฉกรรจ์ที่น่าเกรงขาม เป็นที่ดึงดูดสายตาแก่ผู้ที่พบเห็น นางอาซียะห์เฝ้าติดตามดูสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างมูซากับสามีของนาง(ฟิรอูน)
เมื่อมูซาและฮารูนมายืนอยู่ตรงหน้าฟิรอูน ฟิรอูนถามเขาทั้งสองว่า :
ต้องการอะไร?
มูซากล่าวตอบกลับว่า :
แท้จริงอัลเลาะห์ ได้ส่งฉันมาเป็นศาสนทูตเพื่อชี้แนะผู้คนไปสู่การเคารพสักการะพระองค์ ซึ่งเป็นผู้สร้าง และผู้ให้ปัจจัยยังชีพแก่มนุษย์ ฉันมาเพื่อเชิญชวนท่านสู่การศรัทธาต่ออัลเลาะห์ พระองค์ได้สร้างท่านขึ้นมา ให้ท่านมีสุขภาพที่ดี มีอำนาจและเกียรติยศ
เมื่อฟิรอูนฟังคำพูดของมูซา เขาได้พูดให้มูซาระลึกถึงบุญคุณและความดีของเขาที่มีต่อมูซาว่า :
เขา(ฟิรอูน) กล่าวว่า เราไม่ได้เลี้ยงดูเจ้าเมื่อขณะเป็นเด็กอยู่กับพวกเราดอกหรือ? และเจ้าได้อยู่กับเราหลายปีในชั่วชีวิตของเจ้า
(อัชชุรออฺ 26 : 18)
มูซากล่าวว่า :
ฉันไม่ปฏิเสธว่าฉันถูกเลี้ยงมาในวังของท่าน และเติบโตมาในวังของท่าน แต่ทว่าอัลเลาะห์ นั้นได้ทรงเลือกฉันให้เป็นศาสนาทูตของพระองค์ เพื่อนำวงศ์วานบนีอิสรออีลไปสู่หนทางที่เที่ยงธรรม และฉันได้มาหาท่าน ตามคำสั่งของพระองค์ เพื่อให้ท่านปลดปล่อย ชาวบนีอิสรออีล หยุดทำร้ายพวกเขา และปล่อยให้พวกเขาเดินทางไปกับฉันยังประเทศชาม
โปรดติดตามตอนต่อไป
Click<<< ท่านหญิงอาซียะห์ บินตฺ มุซาฮิม 1 ท่านหญิงอาซียะห์ บินตฺ มุซาฮิม 3 >>>Click