อิสลามไม่ส่งเสริมความรุนแรง
เรียบเรียงโดย อิสมาอีล กอเซ็ม
มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก
หากเราจะนับความโปรดปรานที่อัลลอฮฺ ได้ประทานให้เรานั้น มันมากมายเกินจะคณานับได้ ส่วนหนึ่งของความโปรดปรานคือ ความสงบสุขของบ้านเมือง ในอัลกุรอานที่อัลลอฮฺ ได้กล่าวถึง ความสงบสุขความปลอดภัยมีอยู่หลายๆ อายะห์ด้วยกัน
"และจงรำลึกถึงขณะที่อิบรอฮีมได้วิงวอนว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดทรงให้ที่นี่เป็นเมืองที่ปลอดภัย และโปรดประทานบรรดาผลไม้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่ชาวเมืองนั้นด้วย คือผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลกจากพวกเขา
พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดที่ปฏิเสธการศรัทธา ข้าจะให้เขาได้รับความสำราญชั่วเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ภายหลังข้าจะบีบบังคับให้เขาไปสู่การทรมานแห่งขุมนรก และเป็นจุดหมายปลายทางอันชั่วช้ายิ่ง"
(อัล-บะเกาะเราะฮ - Ayaa 126)
จากอายะห์ข้างต้น ท่านนบี อิบรอฮีมอะลัยอิสสลาม ได้เริ่มในการวิงวอนขอของท่าน ด้วยการขอให้มีความสงบปลอดภัย หลังจากนั้นท่านได้ขอเรื่องของปัจจัยยังชีพต่างๆ จะเห็นได้ว่าสังคมใดที่มีความสงบ ความปลอดภัย สังคมนั้นจะมีความเจริญ มีปัจจัยยังชีพมากมาย หากไปดูประเทศที่มีภัยสงคราม มีการสู้รบ ประชาชาชนจะอยู่ด้วยความลำบาก ไม่สามารถประกอบอาชีพได้เป็นที่มาของการขาดแคลนอาหาร ยารักษาโรค มีการสูญเสียชีวิตจากการสู้รบ การบาดเจ็บ และปัญหาสังคมจะตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น การลักขโมย การก่ออาชญากรรม และอีกมากมายที่ส่งผลเสียต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์
ดังนั้นการสร้างความสงบและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จึงเป็นสิ่งที่สมควรร่วมมือกัน เพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และแน่นอนอิสลามเป็นศาสนาหนึ่งที่เรียกร้องผู้คนให้ช่วยกันสร้างสังคมให้มีความปลอดภัย และให้เกิดสันติสุข อิสลามปฏิเสธการก่อการร้ายในทุกๆรูปแบบ ปัจจุบันมีการกระทำที่รุนแรงมากมาย ความรุนแรงเหล่านั้นถูกเชื่อมโยงว่าเป็นคำสอนของอิสลาม ซึงบางครั้งผู้กระทำเป็นมุสลิม หรือความรุนแรงต่างๆเหล่านั้นเกิดในประเทศมุสลิม เช่น การลอบวางระเบิดในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน จนเป็นเหตุให้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต ถึงแม้บางครั้งผู้ที่กระทำอาจจะเป็นมุสลิม และก่อนที่จะตัดสินว่าเป็นคำสอนของอิสลาม ต้องดูว่าการกระทำเหล่านี้ใครเป็นคนทำ และกลุ่มไหนบ้างที่ออกมาอ้างความรับผิดชอบ มีเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นแล้วไม่มีกลุ่มใดออกมารับผิดชอบ เพียงที่คาดเดาว่าน่าจะเป็นการกระทำของคน กลุ่มนั้นๆ ซึงบางครั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถูกนำไปเชื่อมโยงกับมุสลิม และนำไปใส่ร้ายมุสลิม จนเป็นเหตุให้ผู้คนเข้าใจอิสลามไปในทางที่ผิด ซึงในคำสอนของอิสลามนั้นไม่ได้สอนให้ใช้ความรุนแรง ทำลาย เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์
หลักฐานในอัลกุรอาน
"อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา
และพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า ในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา
และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม"
(อัล-มุมตะหะนะฮ์ Ayaa 8)
จากอายะห์นี้อัลลอฮฺ ไม่ได้ห้ามที่เราจะปฏิบัติในสิ่งที่ดีๆ แก่บุคคลต่างศาสนา โดยที่มีเงื่อนไขว่าคนเหล่านั้นไม่ได้ต่อต้านศาสนาให้ร้ายแก่อิสลามและบรรดามุสลิม หมายถึงบรรดาที่ผู้ต่างศาสนาอยู่ร่วมกันโดยไม่มีการละเมิดซึ่งกันและกัน ดังนั้นการก่อเหตุสร้างความรุนแรงเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์จึงไม่ใช่เป็นคำสอนของอิสลามอย่างแน่นอน
หากเราศึกษาประวัติศาสตร์อิสลาม เราจะพบว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ได้กำชับแก่บรรดาทหารมุสลิม ขณะที่ออกไปทำสงคราม ห้ามฆ่าเด็ก สตรี คนชรา นักบวช ห้ามตัดต้นไม้ ทำลายบ้านเรือน ศาสนสถาน ดังนั้นสงครามใดก็ตามที่ได้ปฏิบัติไปตามรูปแบบของอิสลาม จะทำความสูญเสียน้อย แต่หากดูการทำสงครามในโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะการทำสงครามของชาติมหาอำนาจ ที่เข้ามาสู่ตะวันออกกลาง สงครามอิรัค อัฟกานิสสถาน ประชาชาชนที่เป็นพลเรือนได้ถูกสังหารจำนวนมากมาย ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยสงคราม บ้านเรือนถูกทำลาย โรงเรียน มัสยิด และมีผู้ที่พิการจนไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองได้อีกมากมาย
ชีวิตของประชากรมุสลิมเสมือนว่า เป็นชีวิตที่ไร้คุณค่า การเข่นฆ่ามุสลิมจำนวนมากไม่เคยถูกหยิบยกมาพูดถึง จากประเทศที่เจริญแล้ว พวกเขามักจะกล่าวอ้างว่าเป็นประเทศที่ส่งเสริมประชาธิปไตย ไม่มีใครรับผิดชอบกับความเสียหายในประเทศมุสลิม จากการรุกรานของชาติมหาอำนาจ และไม่เคยมีประเทศประชาธิปไตยใดที่ออกมาประจานการรุกรานของชาติมหาอำนาจ ที่เข้าไปรุกรานอัฟกานิสถาน และอิรัค เพียงแค่อ้างว่าต้องการขจัดกลุ่มก่อการร้าย และอาวุธชีวะภาพที่เป็นภัยคุกคามของโลก สุดท้ายเมื่อเรากลับมาดูอิรัค และอัฟกานิสถานก็ไม่สามารถ มีความสงบและไม่สามารถเกิดประชาธิปไตยตามการกล่าวอ้างได้ อิสลามไม่มีคำสอนที่ก่อการร้าย กลุ่มที่กระทำการเป็นภัยคุกคามของโลกนั้น เป็นการสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ และถือว่าเขาไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางของอัลกุรอาน และแนวทางของท่านนบี มูฮัมหมัดศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม หลายคนคงเข้าใจว่าอิสลาม เป็นศาสนาที่ชอบทำสงคราม ชอบสร้างปัญหาให้แก่สังคม ตรงไหนมีมุสลิม ตรงนั้นมีแต่ปัญหาการสู้รบ ความรุนแรง
คำว่าประชาธิปไตย ก็คือการให้เสรีภาพความเท่าเทียมในการเป็นมนุษย์ แต่เมื่อมาดูมุสลิมที่อาศัยในประเทศที่เป็นต้นแบบของประชาธิปไตย อย่างฝรั่งเศส มุสลิมถูกกีดกันทางเสรีภาพ เช่น ห้ามมุสลิมสวมใส่ฮิญาบแบบนิกอบ การปกปิดใบหน้า และยังออกกฎหมายเอาผิดแก่บุคคลที่ กระทำเช่นนั้นในที่สาธารณะ หากเป็นการเคารพเสรีภาพกันจริงก็ต้องให้สิทธิในการแสงออก ดังนั้นอิสลามกล้าท้าทายให้มวลมนุษยชาตินำอิสลามมาแก้ปัญหาที่เกิดในกลุ่มของมนุษย์ เพราะอัลลอฮซุบหานาฮูวาตาอาลา คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ทั้งหมดมา พระองค์ย่อมรู้ดีถึงหลักการที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่มนุษย์ พระองค์จึงกำหนดกฎเกณฑ์ข้อบังคับมา เพื่อผลประโยชน์ที่แท้จริงของมนุษย์
เป้าหมายหลักของบทบัญญัติอิสลาม มีสองประการด้วยกัน คือ นำประโยชน์มาสู่มนุษย์ และปกป้องมนุษย์จากความเสียหาย นี่คือ จุดประสงค์หลักๆของบทบัญญัติอิสลาม
บทบัญญัติแต่ละข้อที่อัลลอฮ์ กำหนดมาย่อมสมเหตุสมผล และไม่ค้านต่อธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ดังนั้นหลายคนที่พยายามโยงอิสลาม กับความรุนแรง โยงอิสลามกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่นการนำบทบัญญัติอิสลามที่ว่าด้วยการคลุมฮิญาบปกปิดร่างกายของบรรดาสตรีมุสลิม ว่าเป็นหลักการที่มาลิดรอนสิทธิสตรี เป็นสิ่งที่มาสร้างความยากลำบากแก่สตรี ในโลกที่เจริญมีความก้าวหน้าแต่สตรีอิสลาม ถูกปิดกั้นจากหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น ถูกปิดกั้นจากการประกอบอาชีพ การทำงาน การแสดงที่ต้องได้รับสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชาย แต่หากบุคคลที่มีจิตใจที่เป็นกลาง ไม่อคติก่อนที่เขาจะตำหนิหลักการอิสลาม เขาสมควรที่จะทำการศึกษาหลักการอิสลามในแต่ละข้อให้รู้ถึงรายละเอียดที่แท้จริง หากเขาศึกษาหลักการอิสลามจนทราบถึงรายละเอียดที่แท้จริง เขาจะพบว่ามีการกล่าวหาอิสลามมากมายที่ไม่เป็นความจริง เพราะเขารู้จักอิสลามแบบผิวเผินไม่ได้ศึกษาอิสลามจากต้นตอ และเป็นการศึกษาที่ถูกรูปแบบเป็นขั้นตอน
ในปัจจุบันชาติตะวันตกที่อ้างสิทธิมนุษยชน มนุษย์มีเสรีภาพเท่าเทียมกัน มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จึงเป็นแค่เพียงการกล่าวอ้าง มีมุสลิมจำนวนมากในหลายประเทศที่ถูกรุกรานโดยชาติมหาอำนาจ โดยอ้างว่าต้องการปลดปล่อยชาติที่ถูกกดขี่ข่มเหงจากผู้นำที่อธรรม และเพื่อขจัดภัยคุกคามของโลก โดยเฉพาะประเทศแถบตะวันออกกลาง แต่ในความเป็นจริงแล้วชาติมหาอำนาจอ้างสิ่งต่างๆเพื่อเข้ามาแสวงหาทรัพยากรในประเทศนั้นๆ และเมื่อเข้ามาก็ได้ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนคนในประเทศนั้นๆ ไม่ว่าด้วยกับการทิ้งระเบิดทำลายบ้านเรือน ฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ จากบรรดาสตรี เด็กๆ คนชรา จำนวนมากที่ต้องสังเวยชีวิตให้ และผู้บริสุทธิ์ถูกจับตัวไปจองจำ ทำร้ายร่างกาย ผู้หญิงถูกข่มขืน ถูกละเมิดทางเพศ ถูกทารุณกรรมทางร่างกายและจิตใจ
กี่มากน้อยแล้วที่มีการอ้างว่าโจมตีผู้ก่อการร้าย และผลลัพธ์ที่ออกมาคือ ผู้ก่อการร้าย มีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป เด็กน้อยสังเวยชีวิตไปจำนวนมาก ภายใต้เหตุผลการก่อการร้าย ชีวิตมุสลิมถูกสังหารไปจำนวนหลายล้าน เป็นเด็กจำนวนมาก แต่ไม่เคยมีชาติที่เรียกร้องผู้คนในเรื่องสิทธิมนุษยชน ออกมาแสดงการประจานการกระทำที่ป่าเถื่อนเหล่านี้ หรือชีวิตมุสลิมเป็นแค่เพียงเศษขยะที่ไม่มีค่าอันใด
การตายของเด็กน้อยในปาเลสไตน์ ไม่เคยมีชาติมหาอำนาจถูกประจาน การกระทำที่ป่าเถื่อนของผู้กระทำที่ไร้ความเป็นมนุษย์ การกระทำของรัฐบาลซีเรีย อิรัค ที่โจมตีประชาชนของตัวเองรายวัน โดยใช้เหตุผลเดียวกัน คือ ปราบผู้ก่อการร้าย โดยที่ผู้ก่อการร้ายยังเป็นคนกลุ่มเป้าหมายเดิม คือเด็กน้อยที่ต้องจบชีวิตลงคนแล้ว คนเล่า แต่กลับมองว่าพวกเขาสมควรตายเพราะเป็นลูกหลานของผู้ก่อการร้าย
อิสลามไม่ใช้ศาสนาของการก่อการร้าย ชาวโลกคงตาสว่างซะทีว่าผู้ก่อการร้ายตัวจริงคือใคร ?