แนวทางชีอะฮฺ ศัตรูอันเลวร้ายของอิสลาม
  จำนวนคนเข้าชม  11881

บทบาทและแนวทาง(มัสฮับ)ที่อันตราย

ในการทำลายอัล-กรุอานและอัล-หะดีษ  (7)


โดย ...สุดารัตน์ สาดและ


แนวทางชีอะฮฺ ศัตรูอันเลวร้ายของอิสลาม ผู้จ้องทำลายอัลกุรอานและฮะดีษ

         เมื่อหมดยุคซอฮาบะฮฺ ตาบีอีนก็เขามาแทนที่ในการรักษาสิ่งสองสิ่งที่รอซูล บอกว่าตามแล้วจะไม่หลงทาง คือกีตาบบุลลอฮและซุนนะฮฺ ตาบีอีนเดินไปหาซอฮาบะเพื่อฟังการรายงานฮาดิษจากปากของซอฮาบะฮฺเอง สาเหตุของการออกเดินทางหาฮาดิษจากบรรดาซอฮาบะฮฺ เนื่องจากว่า

 

    1.) เกิดการปลอมแปลงฮาดิษโดยฝีมือของกลุ่มเบี่ยงเบนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มรอวาฟิฏ (ชีอะห์) กลุ่มคอวาริจ กลุ่มมุรญิอะห์ และกลุ่มญะมียะห์ มีการแอบอ้างฮาดิษต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นสื่อเรียกร้องเชิญชวนผู้คนให้ศรัทธา และเชื่อหลักการและแนวคิดของตน เมื่อเป็นดังนั้น นักรายงานฮาดิษในยุคต่อมาจึงได้ กระตือรือร้นในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงของฮาดิษโดยการเดินทางเพื่อหาสายสืบและแหล่งที่มาที่ถูกต้อง

 

     2.) การสืบหาสายสืบที่อาลี หมายถึง สายสืบที่มีผู้รายงานน้อยเมื่อเทียบกับอีกสายสืบหนึ่งที่รายงานฮาดิษบทเดียวกัน กล่าวคือ นักรายงานฮาดิษในยุคนี้จะพยายามค้นหาสายสืบที่ฮาดิษที่ อาลี ไม่ว่าสายสืบนั้นจะอยู่กับใคร และอยู่ที่ใด เนื่องจากนักฮาดิษมีหลักการพิจารณาว่า ฮาดิษที่มีสายสืบอาลีมีความน่าเชื่อถือมากกว่าฮาดิษที่มีสายสืบไม่ อาลี ด้วยเหตุผลว่า ผู้รายงานที่น้อย ความผิดพลาดย่อมน้อยเป็นเงาตามตัว

 ท่านอีมามอะห์หมัด อิบนิ ฮัมบัลได้กล่าวไว้ว่า "การแสวงหาอิสนาดที่ อาลี นั้นเป็นวิถีที่ได้มาจากคนยุคก่อน" (อูลูมุลฮาดิษ : อิบนุศศอลาห์ หน้า 231)

 

     3.) การรวบรวมสายสืบฮาดิษหลาย ๆ สายของฮาดิษบทเดียว กล่าวคือ นักรายงานฮาดิษในยุคนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะตัวบทฮาดิษเพียงอย่างเดียว แต่ได้ให้ความสำคัญอย่างมากต่อการรวบรวมสายสืบของตัวบทฮาดิษ คนเหล่านี้ต้องเดินทางไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ด้วยความยากลำบาก เพื่อให้ได้มาซึ่งสายสืบใหม่ ๆ ของฮาดิษ เนื่องจากสายสืบต่าง ๆ นั้นจะเป็นส่วนสำคัญในการพิจารณาตัวบทของฮาดิษว่า อยู่ในสถานะที่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้หรือไม่


         ตัวอย่างที่โดดเด่นของนักรายงานในกลุ่มนี้ คือ ท่านอิมามอะห์หมัด อิบนุ ฮัมบัล (241 ฮ.ศ.) อิสหากอิบนุ รอหะวัยฮ์ (238 ฮ.ศ.) อะลีย์ อิบนุล มาดีนีย์ (234 ฮ.ศ.) ยะหฺยา อิบนุ มะอีน (233 ฮ.ศ . ) อิมามอัลบุคอรีย์ (256 ฮ.ศ.) อิมามมุสลิม (261 ฮ.ศ.) อบูซุรอะห์ (327 ฮ.ศ.) และ อบูฮาติม (277 ฮ.ศ.) และอื่น ๆ อีกมากมาย

 

     4.) ท่านรอซูล ได้กำชับและเตือนถึงโทษอันมหันต์ของการแอบอ้าง หรืออุปโลกน์ ซึ่งปรากฏในหลายฮาดิษ เช่น

ก. ผู้ใดโกหกต่อฉัน (หมายถึงนำฉันไปแอบอ้าง) เขาจงเตรียมที่นั่งของเขาในไฟนรก (ซอเฮี๊ยะบุคอรีย์ หมายเลขฮาดิษ 107)

ข. เป็นการโกหกพอแล้วที่คน ๆ หนึ่งเล่า (รายงาน) ทุกสิ่งที่เขาได้ฟังมาโดยไม่จำแนก (โดยมุสลิมในคำนำของหนังสือซอเฮี๊ยะ ฮาดิษหมายเลข 5)

ค. ผู้ใดเล่าฮาดิษหนึ่งจากฉันทั้งที่รู้ว่าเป็นเรื่องโกหก เขาก็เป็นคนหนึ่งจากนักโกหก (โดยมุสลิมในคำนำของหนังสือซอเฮี๊ยะ ฮาดิษหมายเลข 1)

          จากคำสั่งข้างต้นของท่านรอซูล  ทำให้นักรายงานฮาดิษมีความกระตือรือร้นในการถ่ายทอด แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้พวกเขาระมัดระวังต่อสิ่งที่ถ่ายทอด นักรายงานฮาดิษในยุคซอฮาบะห์จึงพิถีพิถันในการรายงาน กล่าวคือ จะไม่รายงานจนกว่าจะแน่ใจในความเที่ยงตรง และความถูกต้องจากท่านรอซูล สำหรับนักรายงานในยุคต่อมาจึงได้วางระบบสายสืบ (อิสนาด) อย่างละเอียดและแยบยล พวกเขาจะไม่รายงานนอกจากจะต้องมีสายสืบที่สามารถตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเชื่อถือได้เท่านั้น การเดินทางของนักรายงานฮาดิษเพื่อสืบหาฮาดิษได้ก่อให้เกิดคุณประโยชน์ที่สำคัญนานับประการต่อวิชาการฮาดิษ เช่น ทำให้ฮาดิษแพร่หลายและทำให้สายรายงานของฮาดิษมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น การเพิ่มจำนวนของสายรายงานนับเป็นประโยชน์ของการพิจารณาฮาดิษในหลายด้าน

 

         ในการเผยแผ่ศาสนาของเหล่าบรรดาซอฮาบะฮฺนั้น มีความเหนื่อยยากลำบากมากมาย อีกทั้งการรวบรวม ปกปักษ์รักษาอัลกุรอานและอัลฮะดีษ ก็นับเป็นการธำรงคำสอนแห่งอัลอิสลามที่มาจากพระเจ้าให้บริสุทธิ์ไม่มีสิ่งใดมาแปดเปื้อน แต่ชีอะฮฺกลับทำในสิ่งตรงกันข้าม นอกจากพวกเขาจะไม่รักษาอัลกุรอานและอัลฮะดีษเหมือนดังที่เหล่าซอฮาบะฮฺได้กระทำแล้ว พวกเขากลับเป็นผู้ทำลายอัลกรุอานและฮะดีษเสียเอง ด้วยการบิดเบือนหรือแม้แต่การปฏิเสธอายะฮฺกุรอานและฮะดีษที่บรรดาซอฮาบะฮฺต่างเสียสละปกป้องด้วยชีวิต

 

         เราในฐานะชนรุ่นหลัง ผู้แบกรับภารกิจในการเป็นตัวแทนของอัลลอฮฺบนหน้าแผ่นดิน เมื่อแนวทางชีอะฮฺได้กระทำการจาบจ้วงอัลกุรอานอันเป็นคำพูดของอัลลอฮฺและหยามหมิ่นฮะดีษอันเป็นจริยวัตรของรอซูลของพระองค์ ตัวแทนของอัลลอฮฺ บนหน้าแผ่นดินอย่างเรา ยังจะนิ่งเฉยและมองว่าชีอะฮฺเป็นสำนักคิดหนึ่งของอิสลามอยู่กระนั้นหรือ !


         ไม่ใช่เลย ! แนวทางชีอะฮฺเป็นศัตรูของอิสลามต่างหาก และเราในฐานะตัวแทนของอัลลอฮฺ บนหน้าแผ่นดิน จักต้องกระทำทุกวิถีทางในการขัดขวางแนวทางนี้ไม่ให้สร้างความเสียหายบนหน้าแผ่นดินของอัลลอฮฺ อีกต่อไป