สิ่งศักดิ์สิทธิ์...คืออะไร ?
โดย : คอดิญะฮ์ ยุซรอ
มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความเชื่อและความศรัทธาในอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม้จะยังไม่รู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นคืออะไร ? แต่ทุกคนเชื่อว่าสิ่งนั้น...เป็นสิ่งที่มีอำนาจสามารถให้คุณและให้โทษ ให้เป็นและให้ตายแก่มนุษย์ทุกคนได้ โดยไม่มีใครสามารถหยุดยั้งพลังอำนาจและคำสั่งที่เด็ดขาดนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ที่มียศตำแหน่ง หรือเทพเจ้าต่างๆที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาตามความเชื่อของบรรพบุรุษ หรือเทพในนิยายปรัมปราที่เล่าขานสืบต่อกันมาถึงความมหัศจรรย์ในอิทธิฤทธิ์ อภินิหารย์ต่างๆ มนุษย์และเทพเจ้าจอมปลอมเหล่านั้นก็ไม่สามารถที่จะมีพลัง อำนาจเหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่นี้ได้
“อำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินนั้น เป็นสิทธิของอัลลอฮ์ทั้งสิ้น
และพระองค์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง”
(อัลมาอิดะฮ์ 120)
ความเชื่อ !
มนุษย์ ทุกคนมีความเชื่อและความศรัทธาในแต่ละศาสนา สืบทอดมาจากพ่อแม่ และบรรพบุรุษ ตามเผ่าพันธุ์ที่สืบเชื้อสายต่อกันมา แต่ละกลุ่มแต่ละเผ่าพันธุ์ก็มักจะเชื่อว่าสิ่งที่ตนเองศรัทธานั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นผู้วิเศษ เป็นเทพเจ้าที่เก่งกาจ เป็นผู้ที่มีอำนาจ จากความเชื่อเหล่านี้ทำให้มนุษย์ตกหลุมพรางสู่ความมืดมน โง่เขลาและงมงาย จนกระทั่งสติปัญญาที่มีอยู่นั้นไม่สามารถที่จะใช้พิจารณาเพื่อให้เกิดความถูกต้องตามธรรมชาติที่เป็นพื้นฐานของมนุษย์ได้
เมื่อความเชื่อแบบโง่เขลาและงมงายได้ครอบงำความเป็นไปในการดำเนินวิถีชีวิต ทำให้เกิดความยโส โอหัง เกิดความโลภ ความอยากได้ อยากมีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่น ดังนั้นสังคมจึงเกิดผู้ที่ควบคุมความเชื่อ และผู้ที่จะต้องยอมรับที่จะเชื่อ
ผู้ที่ควบคุมความเชื่อ คือ ผู้ที่บอกว่าตนเองใกล้ชิดเทพเจ้าต่างๆ หรือเป็นตัวแทนของเทพในนิยายที่มีอำนาจตามที่ได้มีการเขียนบทละครไว้ บางคนอาจถึงขั้นเป็นร่างหุ่นให้เจ้าต่างๆได้มาสิงสู่ ที่มักจะเรียกว่า ร่างทรง หมอผี หมอดู นักบวช และอื่นๆ บุคคลเหล่านี้แอบอ้างเพื่อให้เกิดการเชื่อฟัง และเพื่อเป็นหนทางในการแสวงหาผลประโยชน์อย่างไม่รู้จบ รุ่นแล้ว รุ่นเล่า สืบทอดต่อกันมา
ผู้ที่จะต้องยอมรับที่จะเชื่อ คือ คนธรรมดาๆ ชาวบ้าน แม่ค้า นักเรียน นักศึกษา นักธุรกิจ มนุษย์ทุกชนชั้นที่เป็นผู้โดนกระทำ และพร้อมจะเป็นผู้กระทำตามในสิ่งที่เชื่อ เพื่อผลประโยชน์ในความเชื่อของตนเอง และสิ่งที่คิดว่าจะได้เมื่อทำตาม บุคคลเหล่านี้ตกอยู่ในสภาวะที่แตกต่างกัน
“ แท้จริงพวกเขาพบบรรพบุรุษของพวกเขาอยู่ในการหลงผิด และพวกเขาก็ยังรีบเร่งเจริญรอยตามพวกเขา(บรรพบุรุษ)”
(อัศศอฟฟาต 69-70)
บางคนเชื่อ...เพราะไม่มีความรู้ ไม่สามารถใช้สติปัญญาให้เกิดประโยชน์ได้
บางคนเชื่อ...เพราะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจแม้จะไม่ได้เห็นผลในสิ่งที่ตนเองกระทำก็ตาม
บางคนเชื่อ...เพราะเมื่อปฏิบัติแล้วบังเอิญได้ในสิ่งที่เขาคาดหวังไว้ แม้จะได้เพียงเล็กน้อยจากที่ขออย่างมากมายก็ตาม แต่ก็ทำให้เกิดการยึดมั่นกันต่อไป
บางคนไม่รู้ว่าจะเชื่ออะไรดี ...จึงเชื่อตามบรรพบุรุษ ที่ตกทอดคำสั่งต่อกันมา แม้จะมีการดัดแปลงแก้ไขบ้าง ก็ยังถือว่าได้ทำตามบรรพบุรุษแล้ว
บางคนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ...แต่ก็ทำไปเพราะไม่เดือดร้อนอะไร ดังมีสุภาษิตว่า “ไม่เชื่อแต่ก็อย่าลบหลู่”
บางคนไม่เชื่อเลย... แต่ถือว่าทำไปเพราะคิดว่าก็ไม่เสียหายอะไร เพื่อตัดความรำคาญจากคนรอบข้าง
แล้วคุณหล่ะเป็นคนที่มีความเชื่อในแบบไหนกัน ?
การค้นหาที่ยังไม่เจอ !
หลายศาสนาล้วนมีเจ้าประจำที่ต้องเคารพนับถือตามความเชื่อ แต่หลายศาสนาที่เคารพเจ้าประจำแล้ว ก็ยังไม่เพียงพอ ทุกคนต่างมีความเชื่อว่าจะต้องมี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มีอำนาจมากกว่าเจ้าต่างๆหรือเทพเจ้าที่พวกเขาเคารพนับถืออยู่อย่างแน่นอน ดังเช่น
ศาสนาพุทธ เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาผู้สูงสุดของศาสนา แต่ทุกครั้งที่มีการเคารพบูชา มักจะมีการกล่าวถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกให้ช่วยพวกเขา หาใช่พระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์และได้ตายไปแล้วไม่ ชาวพุทธไม่สามารถยึดเหนี่ยวจิตใจให้ยึดติดอยู่กับพระพุทธเจ้าเพียงองค์เดียว ทุกครั้งจะต้องมีสิ่งเคารพมากกว่า 1 เสมอ เช่น เมื่อไหว้พระองค์ที่ 1 จะต้องมีการไหว้พระองค์ที่ 2 3 4 ..... ตามมาเรื่อยๆ ชาวพุทธไม่สามารถสะกดให้จิตใจยอมรับในพระพุทธเจ้าองค์เดียว พวกเขาจะมีพระพุทธเจ้าหลายองค์ และยังมีพระ หรือบุคคลดีๆ ที่ตายไปร่วมอยู่ในการขอความช่วยเหลืออยู่ร่ำไป นั่นแสดงว่าพวกเขายังไม่สามารถที่จะเข้าถึงผู้ที่มีอำนาจสูงสุดได้อย่างแท้จริง และพวกเขาก็ยังค้นหาผู้นั้นไม่เจอ
“และพวกเขาได้ยึดเอารูปปั้นต่าง ๆ เป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์ เพื่อที่จะเป็นพลังอำนาจแก่พวกเขา
เปล่าเลย ! รูปปั้นเหล่านั้นจะปฏิเสธการเคารพบูชาของพวกเขา และพวกมันจะเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขา”
(มัรยัม 81-82)
ศาสนาคริสต์ เชื่อว่าเยซู เป็นบุตรของพระเจ้า เมื่อมีการรำลึกถึงพระเยซู มีการชำระบาป พวกเขาก็รู้ดีว่า พระเยชูเป็นเพียงผู้ที่จะขออภัยโทษให้กับพวกเขา หรือเป็นเพียงผู้แบกรับโทษของพวกเขาไว้เท่านั้น นั่นแสดงว่าชาวคริสต์ก็ยอมรับว่าพระเยซูไม่ใช่ผู้ที่สูงสุด ในการที่จะให้คุณและให้โทษแก่พวกเขา และพระเยซู คือ มนุษย์เช่นเดียวกัน ดังนั้นยังมีอำนาจอื่นที่อยู่เหนือกว่าพระเยซูอย่างแน่นอน
“ และจงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮ์ ตรัสว่า อีซาบุตรของมัรยัม เอ๋ย ! เจ้าพูดแก่ผู้คนกระนั้นหรือว่า จงยึดถือฉันและมารดาของฉันเป็นที่เคารพสักการะทั้งสองอื่นจากอัลลอฮ์
เขากล่าวว่า มหาบริสุทธิ์พระองค์ท่าน! ไม่เคยแก่ข้าพระองค์ที่จะกล่าวสิ่งที่มิใช่สิทธิของข้าพระองค์ หากข้าพระองค์เคยกล่าวสิ่งนั้น แน่นอนพระองค์ย่อมรู้ดี
โดยที่พระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในใจของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ไม่รู้สิ่งที่อยู่ในใจของพระองค์ แท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับทั้งหลาย”
(อัลมาอิดะฮ์ 116)
ศาสนาฮินดู เชื่อในเทพเจ้ามากมาย ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับศาสนาพราหมณ์ และศาสนาซิก อีกทั้งศาสนาฮินดูมีความเชื่อในเทพเจ้าที่อยู่ในนิยายปรัมปรา ที่มีรูปร่างกึ่งคนกึ่งสัตว์เดรัจฉาน ผสมผสานกัน เป็นลักษณะที่ผิดธรรมชาติ ซึ่งโดยสติปัญญาของมนุษย์ หรือตามหลักวิทยาศาสตร์ เทพที่มีรูปร่างอันแปลกประหลาดเหล่านั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้ พวกเขาบูชาแม้กระทั่งภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ และสัตว์บางชนิด พวกเขาบูชาทุกอย่าง ไม่ว่าคนเป็นหรือคนตาย แม้พวกเขาจะบูชาทุกอย่าง มากมายแค่ไหน พวกเขาก็ยังไม่สามารถค้นหาผู้ที่มีอำนาจสูงสุดเจอนั่นเอง
“ขณะที่เขากล่าวแก่บิดาของเขาและกลุ่มชนของเขาว่า “รูปปั้นอะไรกันนี่ที่พวกท่านเฝ้าบูชากัน”
พวกเขากล่าวว่า “เราได้พบเห็นบรรพบุรุษของเรา เป็นผู้สักการะบูชามันก่อน”
เขากล่าวว่า “โดยแน่นอน พวกท่านและบรรพบุรุษของพวกท่าน อยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง”
(อัลอัมบิยาอ์ 52-54)
ไม่ว่าจะลัทธิไหน หรือลัทธิอื่นๆที่ตั้งขึ้นมาใหม่ หรือประเพณีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเคารพบูชา ความเชื่อของพวกเขาก็ไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขายังคงแสวงหาต่อไป เพื่อให้เจอผู้ที่สูงสุด และ มีพลังอำนาจอย่างแท้จริง เพื่อขอทุกอย่างที่พวกเขาต้องการในโลกนี้
“และพวกเขาเคารพอิบาดะฮ์อื่นจากอัลลอฮ์ ซึ่งมันไม่ให้คุณแก่พวกเขาและไม่ให้โทษแก่พวกเขา
และผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นเป็นผู้ช่วยเหลือ (ชัยฏอน) ให้ฝ่าฝืนพระเจ้าของเขา”
(อัลฟุรกอน 55)
ศาสนาอิสลาม
พระเจ้าในศาสนาอิสลามเรียกว่า “อัลลอฮ์ ” ผู้ที่เคารพศรัทธาในศาสนาอิสลาม จะเชื่อมั่นว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮ์ เพียงพระองค์เดียว”
อัลลอฮ์ คือผู้ที่ยิ่งใหญ่ อยู่เหนือเจ้าหรือเทพเจ้าอื่นๆที่ถูกอุปโลกขึ้นมา ดังนั้นคนต่างศาสนิกที่ไม่รู้ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขากำลังระลึกนึกถึงอยู่เสมอ และขอความคุ้มครองอยู่ตลอดเวลานั่นก็คือ “อัลลอฮ์ ”พระเจ้าที่อยู่เหนือสุดนั่นเอง
“และเจ้าจงมอบหมายต่อพระผู้ทรงดำรงชีวิตตลอดกาล ไม่ตาย และจงแซ่ซร้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระองค์
และพอเพียงแล้วสำหรับพระองค์ ผู้ทรงรอบรู้ในความผิดทั้งหลายของปวงบ่าวของพระองค์”
(อัลฟุรกอน 58)
อัลลอฮ์ ทรงพลังอำนาจ เหนือเจ้าทุกเจ้าที่โดนแต่งตั้งโดยมนุษย์ โดยเฉพาะเมื่อเดือดร้อนอย่างปัจจุบันทันด่วน พวกเขาจะนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่มีพลังอำนาจที่จะช่วยพวกเขาได้ ณ ขณะนั้นไม่มีมนุษย์คนใดนึกถึงพระเจ้าจอมปลอมที่พวกเขานับถือสักตน เพราะโดยส่วนลึกหรือจิตใต้สำนึกแล้ว พวกเขารู้ดีว่าเทพเจ้าที่ถูกบูชา หรือ นำมาห้อยแขวนอยู่บนคอ หรือวางตั้งไว้ ณ ที่ต่างๆ สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถช่วยตัวเองได้เลย พวกรูปปั้นเหล่านั้นต้องจมน้ำเวลาน้ำท่วม ถูกเพลิงเผาวอดวายเวลาเกิดไฟไหม้ โดนขโมยเพื่อการซื้อขาย หรือโดนทุบทำลายได้โดยง่าย สิ่งถูกสร้างเหล่านั้นก็ไม่สามารถช่วยตัวเองได้เลย แล้วอย่างไรเล่า! สิ่งที่พวกเขาอุตส่าห์บูชาและก้มกราบจะสามารถช่วยพวกเขาได้อย่างไร ?
“และพวกเขาจะเคารพภักดีสิ่งอื่นไปจากอัลลอฮ์ ที่มิได้ให้โทษแก่พวกเขา และมิได้ให้ประโยชน์แก่พวกเขา
และพวกเขาจะกล่าวว่า “เหล่านี้คือผู้ช่วยเหลือเรา ณ ที่อัลลอฮ์”
จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) “พวกท่านจะแจ้งข่าวแก่อัลลอฮ์ ด้วยสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงรู้ ในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดินกระนั้นหรือ? พระองค์ทรงมหาบริสุทธิ์และทรงสูงส่ง เหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีขึ้น”
(ยูนุส 18)
อัลลอฮ์ ทรงมีความเมตตา กรุณาปรานี ทรงประทานปัจจัยยังชีพเพื่อมนุษย์สามารถดำเนินวิถีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ อัลลอฮ์ เป็นผู้สร้างโลกและจักรวาลต่างๆ และอื่นๆอีกมากมายที่มนุษย์ยังค้นหาไม่พบ พระองค์ให้อากาศเพื่อมนุษย์ได้หายใจในการดำรงชีวิต พระองค์ให้ต้นไม้ที่ออกดอกออกผลเกิดขึ้นบนแผ่นดิน เพื่อให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์จากมัน พระองค์ทรงสร้างสัตว์ต่างๆเพื่อเป็นระบบนิเวศ สัตว์บางชนิดมีประโยชน์ในการใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม บางชนิดใช้เป็นอาหาร บางชนิดมีความสวยงามเพื่อเป็นที่เพลิดเพลิน พระองค์ทรงสร้างสิ่งต่างๆอย่างมีเหตุมีผลเพื่อมนุษย์ทั้งสิ้น
“แท้จริง ในการสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และการที่กลางวันและกลางคืนตามหลังกันนั้น แน่นอนมีหลายสัญญาณสำหรับผู้ที่มีปัญญา
คือบรรดาผู้ที่รำลึกถึงอัลลอฮฺ ทั้งในสภาพยืนและนั่งและในสภาพที่นอนตะแคง และพวกเขาพินิจพิจารณากันในการสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน
(โดยกล่าวว่า) โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ พระองค์มิได้ทรงสร้างสิ่งนี้มาโดยไร้สาระ มหาบริสุทธิ์พระองค์ท่าน โปรดทรงคุ้มครองพวกข้าพระองค์ให้พ้นจากการลงโทษแห่งไฟนรกด้วยเถิด”
( อาละอิมรอน /190 )
อัลลอฮ์ ทรงเป็นผู้อภัย ไม่ว่าสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำผิดบาปมากมายแค่ไหน แต่ถ้ามนุษย์ผู้นั้นได้กลับตัวกลับใจ ขออภัยต่อพระองค์ ด้วยความบริสุทธิ์ใจและไม่หวนกลับไปทำสิ่งที่ผิดบาปอีก อัลลอฮ์จะทรงอภัยให้อย่างแน่นอน เมื่อมนุษย์ผู้นั้นปฏิบัติตามคำสั่งใช้ที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ บาปต่างๆจะได้รับการอภัยอย่างแน่นอน เพราะพระองค์คือ “ผู้ทรงอภัยเสมอ”
“เว้นแต่ผู้ที่กลับเนื้อกลับตัว และศรัทธาและประกอบการงานที่ดี เขาเหล่านั้นอัลลอฮ์จะทรงเปลี่ยนความชั่วของพวกเขาเป็นความดี และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ”
(อัลฟุรกอน 70)
อัลลอฮ์ ทรงเป็นผู้ลงโทษอย่างรุนแรง สำหรับความผิดบาปต่างๆที่มนุษย์ได้กระทำต่อมนุษย์ด้วยกัน ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ แม้กระทั่งการทรมานสัตว์ การทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างไร้เหตุผล การลงโทษจะมาในรูปแบบที่มนุษย์คาดไม่ถึง และบางครั้งมีความรุนแรงอย่างมากมาย ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น การเกิดแผ่นดินไหว การเกิดลมพายุ การเกิดไฟป่า การเกิดน้ำท่วมอย่างฉับพลัน สึนามิ อุณภูมิความร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความหนาวเย็นอย่างกระทันหัน และอีกหลายๆอย่าง ที่คร่าชีวิตของมนุษย์อย่างมากมาย ทรัพย์สมบัติต้องมลายหายไปในพริบตา สิ่งต่างๆเหล่านี้นั้น เป็นการกำหนดของอัลลอฮ์ ทั้งสิ้น
“และแต่ละคนเราได้ลงโทษด้วยความผิดของเขา เช่น บางคนในหมู่พวกเขาเราได้ส่งลมพายุร้ายทำลายเขา
และบางคนในหมู่พวกเขาเราได้ลงโทษเขาด้วยเสียงกัมปนาท
และบางคนในหมู่พวกเขาเราได้ให้แผ่นดินสูบเขา
และบางคนในหมู่พวกเขาเราได้ให้เขาจมน้ำตาย
และอัลลอฮฺมิได้ทรงอธรรมแก่พวกเขา แต่พวกเขาต่างหากที่อธรรมต่อพวกเขาเอง”
( العنكبوت/40 )
ความเดชานุภาพของอัลลอฮ์ นั้นมีมากมายจนไม่สามารถบอกกล่าวได้ทั้งหมด และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์ทุกคนต้องพึงระลึกไว้นั่นคือ อัลลอฮ์ คือ ผู้สร้างมนุษย์ ฉะนั้นพระองค์ทรงรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทุกคน เพราะพระองค์คือผู้กำหนดบททดสอบในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกคนนั่นเอง พระองค์คือผู้ให้ชีวิต ให้ลมหายใจ และพระองค์เท่านั้นคือผู้ดึงชีวิตของมนุษย์กลับไป พระองค์เท่านั้นคือผู้หยุดลมหายใจของผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ดังนั้นใครเล่าจะยิ่งใหญ่เท่ากับอัลลอฮ์ ใครเล่าจะมีความสามารถเทียบเทียมพระองค์ จะมีสิ่งใดเล่าที่มีพลังและอำนาจเหมือนดังที่พระองค์ทรงมี
อิสลามมีพระเจ้าเพียงองค์เดียว และจะไม่เคารพเจ้าอื่นใด และไม่มีมนุษย์ตนใด มาเท่าเทียมกับพระองค์ได้
ผู้ที่นับถืออิสลามเท่านั้นคือผู้ที่รู้ว่า ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงคือ อัลลอฮ์ เพียงองค์เดียว
ผู้ที่ศรัทราอิสลามเท่านั้น ที่ไม่เคยค้นหาพระเจ้าอื่นใดนอกจาก อัลลอฮ์ เพียงองค์เดียว
ผู้ที่ยึดมั่นในอิสลามเท่านั้น ที่ไม่ยอมก้มกราบให้กับผู้ใด นอกจาก อัลลอฮ์ เพียงองค์เดียว
“ โอ้มนุษย์เอ๋ย ! แท้จริงข้อตักเตือน (อัลกุรอาน) จากพระเจ้าของพวกท่าน ได้มายังพวกท่านแล้ว
และ(มัน) เป็นการบำบัดสิ่งที่มีอยู่ในทรวงอก และเป็นการชี้แนะทาง และเป็นความเมตตาแก่บรรดาผู้ศรัทธา”
(ยูนุส 57)
มาสู่อิสลามกันเถิด
โอ้ ! เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อได้ทราบเช่นนี้แล้ว ท่านจะตามหาสิ่งศักสิทธิ์จากที่ไหนอีกเล่า ......ความสงบจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อมนุษย์ทั้งหลายมีพระเจ้าเพียงองค์เดียว ......ความสันติจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมนุษย์ทั้งหลายได้ยึดบทบัญญัติหนึ่งเดียวกัน.......ความสุขจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อหัวใจเราได้รับรู้ว่า ใครคือที่พึ่งที่แท้จริง......
มาสู่อิสลามกันเถิด โอ้ ! ผู้ที่กำลังค้นหาพลังอำนาจแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง
มาสู่อิสลามกันเถิด โอ้ ! ผู้ที่กำลังหลงงมงายอยู่ในพระเจ้าแห่งความจอมปลอม ผู้ที่กำลังขอความช่วยเหลือจากรูปปั้น รูปภาพ และก้อนหิน
มาสู่อิสลามกันเถิด โอ้ ! ผู้ที่กำลังหลงใหลในจินตนาการอันเพ้อฝัน ผู้ที่หาไม่เจอในทางออกของปัญหา
มาสู่อิสลามกันเถิด โอ้ ! ผู้ที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยวเหงา อ้างว้าง โดยไร้สาเหตุ
มาสู่อิสลามกันเถิด โอ้ ! ผู้ที่กำลังโหยหาความรักบนความว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้ที่เข้าใจ
มาสู่อิสลามกันเถิด โอ้ ! ผู้ที่ต้องการความร่ำรวยอย่างแท้จริง และผู้ที่แสวงหาความสุขอันนิรันดร์
มาสู่อิสลามกันเถิด โอ้ ! มนุษยชาติทั้งหลาย พวกเรา(มุสลิม)เป็นเพียงผู้เรียกร้อง และป่าวประกาศ
พวกเรา(มุสลิม)เป็นเพียงผู้หยิบยื่น และเกื้อหนุน พวกเรา(มุสลิม)เป็นเพียงบ่าวที่ทำหน้าที่ตามคำสั่งใช้ของพระองค์ พวกเรา(มุสลิม)เป็นเพียงมนุษย์ที่ถูกทดสอบดังเช่น ที่พวกท่านโดนทดสอบ เราหายใจดังเช่นที่พวกท่านหายใจ พวกเราร้องไห้ดังเช่นที่พวกท่านร้องไห้ พวกเรามีเลือดเนื้อดังเช่นที่พวกท่านมี พวกเราต่อสู้ดังที่พวกท่านต่อสู้ แต่พวกเราจะไม่มีวันยอมแพ้เพราะเรามีผู้ที่คอยช่วยเหลือตลอดเวลา นั่นคือ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง “อัลลอฮ์ ซุบฮาน่าฮุวาตะอาลา”
พระองค์ได้ให้สติปัญญาและสมองแก่พวกเราไว้คิดพิจารณาความจริงที่เกิดขึ้นบนโลกนี้เพื่อโลกหน้า พวกเราขอเรียกร้องให้พวกท่านให้ใช้สติปัญญาในการคิดพิจารณา เพื่อการดำเนินวิถีชีวิตในโลกนี้เพื่อโลกหน้าเช่นกัน โดยใช้สายตาในการอ่าน ใช้หูเพื่อการฟัง ใช้สมองในการคิด ด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ พร้อมจิตใต้สำนึกที่เป็นธรรม ท่านก็จะได้สัมผัสกับความรู้ที่เป็นต้นกำเนิดแห่งความจริงทั้งปวง นั่นคือ “คัมภีร์อัลกุรอาน”
“จงอ่านด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงบังเกิด ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด
จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเจ้านั้นทรงใจบุญยิ่ง ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้”
(อัลอะลัก: 1-5)
โอ้ มนุษย์ชาติทั้งหลาย
“จงอ่าน” คัมภีร์ “อัลกุรอาน” ที่ส่งมาจากพระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่ทรงสร้างสรรค์สิ่งต่างๆทั้งหลาย ทั้งปวง ในสากลจักรวาล
“จงอ่าน” คัมภีร์ “อัลกุรอาน” ที่บ่งบอกซึ่งแหล่งกำเนิดของความรู้ทั้วปวง และบอกเล่าความเป็นจริงตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และในอนาคต
“จงอ่าน” คัมภีร์ “อัลกุรอาน” ที่จะนำทางมนุษย์สู่ความสุข ความสงบ ความสันติ และความเป็นนิรันดร์
ขอพระองค์ อัลลอฮ์ โปรดให้พวกเขาได้เห็นแนวทางที่เที่ยงตรง ได้เข้าใจและสัมผัสได้ถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ขอพระองค์ได้โปรดชี้แนะให้พวกเขาด้วยเถิด
ขอพระองค์ อัลลอฮ์ โปรดประทานทางนำ (ฮิดายะฮ์ ) อันถูกตัอง แด่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ให้พวกเขาได้เข้าใจใน “ศาสนาอิสลาม” ด้วยเถิด
อามีนญารอบบัลอาลามีน – ขอพระองค์ทรงรับการวิงวอนด้วยเถิด
“และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน”
(อาละอิมรอน 85)
“ด้วยหลักฐานทั้งหลายที่ชัดแจ้ง และคัมภีร์ต่างๆ ที่ศักดิ์สิทธิ์ และเราได้ให้อัลกุรอานแก่เจ้า
เพื่อเจ้าจะได้ชี้แจง(ให้กระจ่าง)แก่มนุษย์ซึ่งสิ่งที่ได้ถูกประทานมาแก่พวกเขา และเพื่อพวกเขาจะได้ไตร่ตรอง”
(อันนะหล 44)